บริษัทโรยัล ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (Royal Philips Electronics NV) ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของยุโรปรายงานตัวเลขขาดทุนรายไตรมาสเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 6 ปี หลังจากที่ได้ปรับลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในแอลจี ดิสเพลย์ (LG Display Co.) และเอ็นเอ็กซ์พี (NXP BV)
ฟิลิปส์เปิดเผยว่า บริษัทมีตัวเลขขาดทุนสุทธิที่ 1.47 พันล้านยูโร (1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 1.57 ยูโร/หุ้น เมื่อเทียบกับที่เคยทำกำไรได้ 1.39 พันล้านยูโร หรือ 1.30 ยูโร/หุ้นเมื่อปีก่อน ซึ่งนับเป็นภาวะขาดทุนครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี 2546
นอกจากนี้ ฟิลิปส์ระบุว่า บริษัทจะปรับลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในแอลจี ดิสเพลย์ ผู้ผลิตจอภาพแอลซีดีรายใหญ่อันดับสองของโลก รวมถึงหุ้นเอ็นเอ็กซ์พี ผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่อันดับ 3 ของยุโรปลงราว 1.1 พันล้านยูโร เนื่องจากตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ผู้บริโภคอยู่ในภาวะย่ำแย่
ทั้งนี้ ฟิลิปส์รายงานตัวเลขขาดทุนที่ร่วงลงหนักกว่าที่นักวิเคราะห์จากโพลล์บลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ในระดับ 1.24 พันล้านยูโร ขณะที่ยอดขายในไตรมาส 4 ลดลงสู่ระดับ 7.6 ล้านยูโร จากระดับ 8.37 พันล้านยูโรในปีก่อนหน้านี้ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 7.2 พันล้านยูโร
"ผลประกอบการไตรมาส 4 ยืนยันถึงกระแสคาดการณ์ที่มีขึ้นเมื่อต้นเดือนธ.ค.ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้นจะเลวร้ายลงอีก และในปีนี้เศรษฐกิจจะเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง แต่ฟิลิปส์จะจ่ายเงินปันผล 70 เซนต์/หุ้นซึ่งเท่ากับระดับเดิมเมื่อปีที่แล้ว"
ขณะเดียวกัน บริษัทยอมรับว่าบอาจทำรายได้ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าภายในปี 2553 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ผู้บริโภคและสินค้าในตลาดยานยนต์ โดยซีอีโอได้ปรับลดตำแหน่งงานในหน่วยการผลิต 3 แห่ง พร้อมทั้งปิดโรงงาน รวมถึงระงับการจำหน่ายทีวีในตลาดสหรัฐเพื่อรักษาผลกำไรของบริษัทให้ได้อย่างต่อเนื่อง