นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนเตรียมเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.)ครั้งหน้า เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณจำนวน 50,000 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนค้ำประกันการส่งออก
โดยเน้นไปที่การช่วยเหลือกลุ่มผู้ส่งออกขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs ซึ่งหลักการของกองทุนนี้เป็นการให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการส่งออกให้กับ SMEs, เป็นการลดความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ รวมถึงเป็นการช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ส่งออกรายย่อยมีความเชื่อมั่นที่จะกล้าออกไปทำตลาดใหม่ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่แทนตลาดหลักที่กำลังซื้อเริ่มลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยอาจจะขอความร่วมมือรัฐบาลให้ช่วยเจรจากับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.), ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ในการช่วยค้ำประกันการส่งออกให้กลุ่มผู้ประกอบการ
นายสันติ กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรีจะนำคณะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงต้นเดือน ก.พ.นี้ว่า การเดินทางไปในครั้งนี้จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนญี่ปุ่น และจะได้รับผลตอบรับที่ดีกลับมา เนื่องจากนักลงทุนญี่ปุ่นยังมองว่า ประเทศไทยมีความน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุนเป็นอันดับแรกในภูมิภาค
ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสดีที่ญี่ปุ่นจะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม คือ สินค้าอิเลคทรอนิคส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้าสำเร็จรูป รวมถึงสินค้าเหล็กด้วย
ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้หลายฝ่ายมองว่างบประมาณแสนล้านบาทของรัฐบาลที่ออกมาเพื่อช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะดูไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหา แต่เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ในเรื่องของภาษีที่ออกมาน่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งเมื่อรวมมาตรการชุดแรกกับชุด 2 แล้วเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นและแก้ไขเศรษฐกิจได้พอสมควร
อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาดูในช่วง 3 เดือนหลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมีผลบังคับใช้ว่าจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากน้อยเพียงใด เพราะมองว่าหากรัฐบาลไม่ทำอะไรเลยอาจจะทำให้เศรษฐกิจในปีนี้ติดลบได้
"ถ้าประเมินเศรษฐกิจไทยตอนนี้ไม่ดีแน่ แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลน่าจะมีผลได้ เพราะถ้ามาตรการดีตัวเลขเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึน ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็อาจจะติดลบได้ แต่คงรอดู 3 เดือนหลังจากมาตรการออกมาแล้วถึงจะมีผลวัดได้...เชื่อว่ารวมมาตรการทั้ง 2 ชุดแล้วน่าจะมีผล(กระตุ้น)พอควร" นายประมนต์ กล่าว