นางอรรชกา ศรีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 52 มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนถึง 50 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 96,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการลงทุนเพียง 20,000 ล้านบาทเท่านั้น
โดยจำนวนนี้มี 2 โครงการที่เป็นโครงการขนาดใหญ่และมีมูลค่ารวมถึง 80,000 ล้านบาท และทั้งปี 52 บีโอไอยังคงยืนยันเป้าการส่งเสริมการลงทุนที่ 650,000 ล้านบาท หากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ มากระทบเพิ่มเติม
เลขาธิการบีโอไอ แนะว่า รัฐบาลควรออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่เอกชนจะได้รับจากบีโอไอ เช่น การสนับสนุนวงเงินการอบรมพนักงาน และการให้สิทธิประโยชน์ด้านการประกอบการที่มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามได้ให้สิทธิประโยชน์ที่จูงใจการลงทุนมากกว่าไทย เช่น การให้ที่ดินเปล่าและลดภาษีในอัตราสูง ดังนั้นหากไม่มีการเร่งดำเนินการอาจจะทำให้ไทยเสียโอกาสที่จะได้รับการลงทุน โดยเฉพาะในโครงการใหญ่จากต่างชาติ เพราะมาตรการปัจจุบันคงไม่เพียงพอ
พร้อมกันนี้ ภาครัฐควรเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่องด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารของรัฐให้มากขึ้น รวมทั้งต้องการให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ยอดส่งออกหดตัวลงถึง 30-40%
อย่างไรก็ดี แม้ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายการลงทุนของภาคเอกชนทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ แต่โครงการลงทุนระยะยาวยังคงมีการขอส่งเสริมการลงทุนที่สูงอยู่ เพราะช่วงเวลาที่โครงการจะเสร็จสิ้นน่าจะตรงกับช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า