นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) เชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาผู้ค้ารายย่อยกักตุนน้ำมันในช่วงนี้เพื่อรอการจำหน่ายน้ำมันที่จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.หลังรัฐบาลปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เนื่องจากเห็นว่าสถานีบริการน้ำมันแต่ละแห่งมีศักยภาพในการจัดเก็บน้ำมันได้ไม่มากเฉลี่ยปั๊มละ 20,000-30,000 ลิตร
ขณะเดียวกัน การสั่งน้ำมันจากผู้ค้ารายใหญ่เพื่อนำไปจำหน่ายจะต้องมีความสัมพันธ์กับยอดการจำหน่ายด้วย หากสถานีบริการไม่จำหน่ายน้ำมันออกไปก็จะไม่สามารถสั่งน้ำมันจากผู้ค้ารายใหญ่เข้ามาเพิ่มเติมได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่จะได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ร่วมกับกรมธุรกิจพลังงานออกตรวจสอบถามสถานีบริการน้ำมันต่างๆ ทั่วประเทศในวันที่ 31 ม.ค.นี้ เพื่อป้องกันปัญหาการกักตุนน้ำมัน
รายงานข่าวจากกรมธุรกิจพลังงาน แจ้งขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือในวันที่ 31 ม.ค.นี้ โดยขอให้สถานีบริการน้ำมันหยุดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่เวลา 24.00 น. จนกว่าเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจวัด ตลอดจนแจ้งปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระหว่างการขนส่ง, ที่ซื้อหรือได้มาก่อนเวลา 24.00 น. และมาถึงภายหลังเวลาดังกล่าว รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับฝาก(ถ้ามี) ต่อกรมธุรกิจพลังงานอย่างช้าไม่เกินวันที่ 4 ก.พ.52
ทั้งนี้ หากผู้ค้าน้ำมันหรือผู้ประกอบการสถานีบริการดังกล่าว ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือ และไม่หยุดจำหน่ายน้ำมันตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 31 ม.ค.จนกว่าเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจวัดเสร็จ จะมีความผิดตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 คือ จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
สำหรับน้ำมันที่จะออกตรวจวัดปริมาณคงเหลือตามคลังน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการทุกรายที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันประเภทสถานีบริการตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 ประกอบด้วยน้ำมัน 5 ชนิด คือ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อี 10, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อี 20, ดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 เพื่อนำมาคำนวณเงินเรียกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากส่วนต่างของราคาขายปลีกที่จะปรับเพิ่มขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.52 ตามประกาศราคาขายปลีกของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.)