ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินหลักอื่นๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (30 ม.ค.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐและยูโรโซนส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลง และดึงดูดนักลงทุนให้เข้าเทรดในตลาดเงินที่เชื่อว่าปลอดภัยกว่า
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นในช่วงท้ายของการซื้อขาย เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1622 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1519 ฟรังค์/ดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี และขยับขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 89.88 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 89.85 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.2794 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.2954 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.4456 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4317 ดอลลาร์/ปอนด์
วานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้รายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หดตัว 3.8% ในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.2551 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่หดตัว 0.5% ถือเป็นการปรับตัวลงอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 27 ปี ทั้งนี้แม้ตัวเลขจะดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์กันไว้ว่าจะหดตัว 5.4% แต่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าอาจเป็นส่งสัญญาณว่าไตรมาสแรกของปีนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า
กระทรวงฯระบุว่า ตัวเลขจีดีพีที่ลดลงในไตรมาสสี่สะท้อนถึงสาเหตุหลักๆคือ การส่งออกที่อ่อนแอ การใช้จ่ายส่วนบุคคลที่ลดลง การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่างๆที่หยุดชะงัก
ทางฝั่งยุโรปก็มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจเช่นกัน โดยสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท รายงานว่า เงินเฟ้อกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร 16 ประเทศ หรือ ยูโรโซน จะอ่อนตัวเหลือ 1.1% ในเดือนม.ค. จากระดับ 1.6% ในเดือนธ.ค. ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลงนี้เป็นผลมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องและเศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อล่าสุดนับเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบสิบปี หลังจากที่เคยยืนอยู่ที่ระดับสูงสุด 4% ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยูโรสแตทยังได้รายงานอัตราว่างงานในยูโรโซนว่า เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8% ในเดือนธ.ค. จากระดับ 7.9% ในเดือนพ.ย. ส่วนอัตราว่างงานในกลุ่มสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศ เพิ่มขึ้น 7.4% ในเดือนธ.ค. จาก 7.3% ในเดือนพ.ย.