ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐอาจต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการกระตุ้นสภาพคล่องเพิ่มเติม หลังฟอร์ด มอเตอร์ โค บริษัทรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐรายงานตัวเลขขาดทุนหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 105 ปี ซึ่งเป็นลางร้ายว่าธุรกิจยานยนต์ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากมากขึ้นในปีนี้
แม้ว่าฟอร์ดจะออกมายืนยันเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า บริษัทสามารถเอาตัวรอดได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐ แต่บริษัทได้พิจารณาปรับลดกำลังการผลิตในไตรมาสแรกลง หลังจากที่ได้ปรับลดประมาณการอุปสงค์รถยนต์ในประเทศประจำปีนี้ และตัดสินใจจัดตั้งเงินกู้ 1.01 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของฟอร์ดในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันที่บริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ คอร์ป (จีเอ็ม) และไครสเลอร์ แอลแอลซีต้องเผชิญในอนาคต ซึ่งค่ายรถ "บิ๊กทรี" กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอจนทำให้หลายฝ่ายเริ่มไม่มั่นใจว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง และมีความเป็นไปได้ว่ายอดขายรถยนต์ในสหรัฐประจำเดือนม.ค.จะทำสถิติลดลงต่อเนื่อง 4 เดือนซ้อนที่ 30%
เชลลี่ ลอมบาร์ด นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย Gimme Credit กล่าวกับบลูมเบิร์กว่า "อุตสาหกรรมยานยนต์จะเผชิญช่วงเวลาที่เลวร้ายต่อไปจนกว่าจะผ่านพ้นครึ่งแรกของปี 2553"
รายงานสถานะการเงินของฟอร์ดที่เปิดเผยไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วได้ตอกย้ำถึงความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐ ซึ่งนอกจากฟอร์ดจะมีตัวเลขขาดทุนต่อปีถึง 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ฟอร์ดยังใช้จ่ายเงินสดกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสสี่ ขณะที่ยอดขายดิ่งลง 30%
ขณะเดียวกัน ยอดขายรายไตรมาสของจีเอ็มและไครสเลอร์ก็ย่ำแย้ไม่แพ้กัน โดยยอดขายของจีเอ็มร่วงลง 39% ส่วนไครสเลอร์มียอดขายที่ลดลง 46% ทั้งนี้ ค่ายรถทั้งสองยังต้องรายงานการปรับโครงสร้างบริษัทให้เสร็จทันกำหนดเส้นตายวันที่ 17 ก.พ.นี้ และต้องรายงานความคืบหน้าภายในวันที่ 31 มี.ค.เพื่อที่จะได้เงินกู้ฉุกเฉินจากรัฐบาลใช้เป็นทุนในการดำเนินธุรกิจได้ต่อไป