นายทนง พิทยะ อดีต รมว.คลัง กล่าวระหว่างการสัมมนาพรรคเพื่อไทย ในหัวข้อ "อุดมการณ์และแนวทางสู่ความสำเร็จของพรรคด้านเศรษฐกิจ" ว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะติดลบไปตลอดทั้ง 2 ไตรมาสของปีนี้ และครึ่งหลังอาจจะโตเพียง 1-2% ซึ่งทั้งปีจีดีพีโตได้ 1% ก็ถือว่าดีแล้ว ในภาวะที่การลงทุนไม่มีเช่นนี้ เพราะเศรษฐกิจไทยในช่วงขาลงที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย การส่งออก การนำเข้า สภาพคล่องที่หดหาย การว่างงานเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากจะหวังกระตุ้นการลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก ขณะที่เศรษฐกิจต่างประเทศต่างเป็นขาลงเช่นกัน การที่ไทยจะเข้าไปแย่งตลาดอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย
"เศรษฐกิจคงติดลบอีก 2 ไตรมาส โงหัวไม่ขึ้น ครึ่งปีหลังคงไม่ติดลบ หมายความว่าขึ้นไม่มาก แค่ 1-2% ไตรมาสสุดท้ายอาจ 3% สุดท้ายทั้งปีโต 1% ก็เก่งแล้ว การลงทุนไม่มี การอัดฉีดรัฐบาลก็ไม่ใช่หาเงินง่ายๆ ใส่ไป 1 แสน 1 หมื่นล้าน เงินคงคลังหายไปอีก ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะหาเงินเป็นหรือไม่" นายทนง กล่าว
นายทนง กล่าวว่า รัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ออก ผูกปมจากการฆ่าคนอื่นจนต้องฆ่าตัวเอง เศรษฐกิจไทยมีความผิดพลาดหลายด้าน โดยมองว่าการใช้ประชานิยมสุดขั้ววันนี้เป็นการเกาไม่ถูกที่คัน เพราะถ้าไม่มีกลยุทธ์แก้ปัญหาแบบองค์รวมแล้วรัฐบาลคงเหนื่อยถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น และการใช้ประชานิยมในช่วงเศรษฐกิจขาลงคงไม่ได้ผล
"เริ่มต้นรัฐบาลนี้ก็บอกว่าเบิ้ลประชานิยมไปเลย แต่ไม่ได้คิดว่าทำอย่างไรถึงจะต้องเบิ้ล ขอให้เข้าใจว่าจุดที่เสียหายจากเศรษฐกิจมันมาจากนอกประเทศ กระทบต่อตลาดทุน และการส่งออกของเรา ความสามารถในการบริโภคของเราลดลงหรือไม่ มันยังไม่ได้ลด เงินเดือนของเรายังเท่าเดิม...การไปเบิ้ลเฉยๆ ไม่ช่วยอะไร มันแย่มากๆ ทำไมให้เขา เชื่อว่าชาวบ้านไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรแน่ ประชานิยมขาลงตอนนี้มันเพิ่มผลผลิตไม่ได้ เพราะผลผลิตยังเหลืออยู่" นายทนง กล่าว
ขณะที่ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวว่า วิกฤตคลังในปี 53-54 มีโอกาสเกิดขึ้นสูง และไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย มาบริหารประเทศขณะนี้ก็จะเผชิญปัญหา ดังนั้นการดำเนินนโยบายประชานิยม ไม่ใช่เพียงแต่แจกเงินอย่างเดียว แต่ต้องให้ความรู้ด้วย เพราะประชานิยมที่ดีคือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงปัจจัยการผลิต การบริการของรัฐ