นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า จากการหารือเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 53 ในเบื้องต้นระหว่างหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการคลังที่ประเมินจากหลักเหตุและผลของภาวะเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม พบว่าการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 53 อาจไม่สูงกว่าปีงบประมาณ 52
เบื้องต้นคาดว่าการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 53 จะอยู่ที่ 1.42 ล้านล้านบาท แต่มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 10% โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีปี 53 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 52 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1%
ส่วนวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 53 คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 52 ที่กำหนดไว้ที่ 1.8 ล้านล้านบาท โดยยังคงเป็นงบประมาณขาดดุลเบื้องต้นที่ 3.5 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายกรณ์ มองว่าระดับการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 53 จะต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะหากประเมินการจัดเก็บรายได้ที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้น และกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ พร้อมเห็นว่าปัจจัยสำคัญไม่ได้อยู่ที่การจัดทำงบประมาณ แต่อยู่ที่เนื้อหาและรายละเอียดของการใช้เงินงบประมาณที่ต้องปรับเปลี่ยนไปจากเดิม โดยต้องปรับเปลี่ยนการใช้เงินงบประมาณไปใช้ในโครงการเร่งด่วน ส่วนโครงการที่ไม่เร่งด่วนอาจต้องชะลอไปก่อน
ทั้งนี้ รัฐบาลยอมรับว่าเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจที่ทรุดตัว จึงทำให้ต้องจัดวงเงินสำรองไว้เป็นแหล่งเงินสำหรับใช้จ่ายในโครงการที่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องเงินคงคลังนั้นยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะจะเห็นได้ว่าระดับเงินคงคลังในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในภาวะผิดปกติ แม้จะอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 51 เพียงเล็กน้อยและยังเป็นระดับที่สามารถบริหารจัดการได้
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า การขอวงเงินกู้จำนวน 7 หมื่นล้านบาทจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศนั้นเป็นวงเงินที่จะนำมาใช้ในช่วงรอยต่อระหว่างการใช้งบกลางปี 52 กับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 53 ขณะที่วงเงินกู้ระยะสั้น 2 แสนล้านบาท เป็นการนำมาใช้เสริมสภาพคล่องให้รัฐวิสาหกิจในระยะเวลาสั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระแก่รัฐบาลในอนาคต