"ณรงค์ชัย"แนะรัฐกระตุ้นการลงทุนเพิ่ม มองมาตรการการเงิน-คลังเห็นผลช้า

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday February 5, 2009 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(Exim Bank) คาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ปี 52 จะขยายตัวเพียง 1% ลดลงจากจีดีพีปี 51 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 3% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4%

พร้อมมองว่ายังมีปัจจัยลบซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 1% เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังอยู่ในภาวะถดถอยทำให้การส่งออกของไทยไม่ขยายตัว ขณะที่ตลาดการเงินโลกยังไม่นิ่งและยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ทำให้การพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากภายนอกเป็นไปได้ยาก

"ที่อาจารย์โอฬารมองว่า จีดีพีจะลบ 4% ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด แต่ไทยคงไม่เห็นถึงขนาดนั้น ซึ่งตัวเลขที่เราคาดการณ์กัน ทั้งกระทรวงการคลัง และอาจารย์โอฬาร ก็มีการหารือกันทุกเดือน โมเดลที่มองว่าเป็นบวกเล็กน้อยก็ถือว่าพอใจแล้ว"นายณรงค์ชัย กล่าว

ส่วนการส่งออกจากที่เติบโตได้ 17% ปีก่อน แต่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ -2.7% และการนำเข้าจากที่โต 28.6% ในปีก่อน แต่ปีนี้มองว่าจะอยู่ในระดับ -2.8% ปีนี้ ด้านการบริโภคขยายตัว 3.1% และการลงทุนขยายตัว 3.7% โดยที่ภาครัฐต้องเป็นตัวนำในการขยายการลงทุน อีกทั้งอุปสงค์ในประเทศคงขยายตัวได้น้อยจนไม่สามารถชดเชยการส่งออกที่หายไปได้ เพราะมูลค่าการส่งออกในแต่ละปีคิดเป็นประมาณ 70% ของจีดีพี ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเน้นกระตุ้นการบริโภคมากกว่าการลงทุน และเป็นมาตรการที่ได้ผลช้า ซึ่งหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นการลงทุนเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป

ประธานกรรมการ Exim Bank ยังเตรียมเสนอแนะต่อรัฐบาลให้ออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อวางโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองมากขึ้น และเพิ่มความสามารถการแข่งขันใน 5 ด้าน คือ การเพิ่มศักยภาพการบริหารงานของ อปท.ซึ่งแต่ละปีจะได้รับงบอุดหนุนจากภาครัฐถึง 25%, การสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้นและการนำเข้าน้ำมัน, การเพิ่มกลไกรักษาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อม, การเพิ่มธุรกิจที่มีพื้นฐานจากศิลป และวัฒนธรรมไทย เช่น สปา, ร้านอาหารที่ไทยมีความได้เปรียบกว่าประเทศอื่น และการเพิ่มความสามารถในการให้บริการด้านโลจิสติกท์

นายณรงค์ชัย มองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในภาพรวมโดยใช้นโยบายการเงินนั้น จะเห็นได้ว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จนเหลือ 2% ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เท่าที่ควร เพราะปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกและความมั่นคงทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องของต้นทุน

ขณะที่การใช้มาตรการการคลังยอมรับว่ามีความจำเป็นต้องนำมาใช้ในภาวะไม่ปกติในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมาตรการการคลังอาจได้ผลช้าและบางครั้งอาจไม่ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเห็นว่าการที่รัฐบาลจัดงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่เป็นการใช้เหมือนเป็นงบประมาณทั่วไป

ด้านนายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปีนี้จีดีพีมีโอกาสติดลบ ประมาณ 2-3% และการส่งออกมีโอกาสติดลบมากกว่า 10% ซึ่งขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจน่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากตัวเลขการส่งออกเดือน พ.ย.และ ธ.ค.51 ติดลบต่อเนื่องทั้ง 2 เดือน ซึ่งการส่งออกมีส่วนสำคัญมากต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ปัญหาเศรษฐกิจโลกเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อไตรมาส 4 ปี 51 และยังมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะทรุดลงไปมากกว่านี้ โดยประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงแรงอีก 2 ไตรมาสจากปัจจุบันที่จีดีพีติดลบ 3.8% ซึ่งขณะนี้ทั่วโลกต่างมุ่งหวังไปที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่อัดฉีดเม็ดเงิน 4.4 ล้านล้านหยวน จะช่วยภาวะเศรษฐกิจจีนไม่ให้ชะลอตัวลงเหมือนที่ทั่วโลกเผชิญอยู่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ