ภาคเอกชน มองศก.ไทยจะฟื้นตัวขึ้นอยู่กับศก.โลก-แนะเก็บหุ้นดีราคาถูก

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday February 5, 2009 18:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "จะอยู่หรือไป เศรษฐกิจไทยปี 2552"ว่า เศรษฐกิจไทย คงขึ้นอยู่กับ เศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจของตลาดโลก ซึ่งหลายฝ่าย หวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐ จะเริ่มฟื้นได้ในช่วงปลายปีนี้

ทั้งนี้ ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่า ปี 52 คงไม่ตกต่ำเหมือนปี 51 เนื่องจากหลังจากตั้งแต่ ต.ค. 51 ที่เกิดปัญหาซับไพร์ม และลุกลามเป็นวิกฤติการเงิน ตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการปรับตัวรับข่าว มูลค่าทรัพย์สินได้ปรับลดลงมามากแล้ว นักลงทุน และกองทุนต่างๆ ได้รับรู้ผลขาดทุนจากการลงทุนไปแล้ว ดังนั้น เห็นว่าในปี 52 จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นได้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่สดใสนัก

โดยขณะนี้สัญญาณการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีหุ้นราคาถูกเป็นจำนวนมาก เกินกว่า 200 บริษัท ที่น่าลงทุน มีราคาต่ำกว่าราคาทางบัญชี ขณะที่คาดการณ์ว่า ปี 52นี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ย จะติดลบที่ 7-8% โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 470-590 จุด และค่า P/E อยู่ที่ 8-10 เท่า

"หุ้นเมืองไทยมีหลายตัวที่น่าลงทุน เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนให้เป็น ...แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สดใส แต่ก็เห็นว่ตอนนี้ มีหุ้นราคาถูก ซึ่งถือเป็นหุ้นราคาเถ้าแก่ ที่สามารถเข้าไปซื้อขายในตลาดได้" นายก้องเกียรติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายก้องเกียรติ แนะนำนักลงทุนว่า การลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขณะนี้ อาจจะมีความซับซ้อนมากขึ้น นักลงทุน จะเลือกกระจายการลงทุน ทั้งในหุ้น หุ้นกู้ที่มีเรทติ้งที่ดี พันธบัตรรัฐบาล และทองคำ แต่ขณะเดียวกัน ควรจะต้องฝากเงินไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นสภาพคล่องไว้ใช้จ่ายจำเป็นเช่นกัน แม้จะมีผลตอบแทนต่ำ แต่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ยังได้รับการคุ้มครองเงินฝากได้เต็มจำนวน

ด้านนายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ยังไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะใช้เวลาฟื้นตัวได้เร็วในเวลาอันใกล้ ซึ่งกรณีของสหรัฐ ที่ได้ใช้งบประมาณกว่า 8 แสนดอลลาร์ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ หากได้ผลคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐ จะฟื้นตัวได้ในปี 52 นี้ แต่เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะดีขึ้นในปี 53

ทั้งนี้ในส่วนของภาคธนาคารพาณิชย์ ยังมีความเข้มแข็ง และไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติการเงินโลก แต่จากปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบภาคอุตสาหกรรม การลงทุน ทำให้ ธนาคารพาณิชย์ ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในภาคการส่งออก ที่จะพิจารณาสินเชื่อมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิด NPL ซึ่งยอมรับว่า เริ่มมีสัญญาณการเกิดหนี้เสียมากขึ้น

ดังนั้น ในปี 52 ส่วนต่างดอกเบี้ย (สเปรด)ในระบบธนาคารพาณิชย์ ยังอยู่ในระดับสูงต่อไป เพราะต้นทุนการเงินของธนาคาร ไม่ได้มีเพียงดอกเบี้ยจ่ายเท่านั้น แต่ยังมีภาระการตั้งสำรองหนี้ของธนาคารพาณิชย์ จากการเกิดปัญหา NPL นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจากมาตรการกำกับดูแลและต้นทุนตามกฎหมาย ทั้งการส่งเงินเข้าสถาบันประกันเงินฝาก 40 สต./เงินฝาก 100 บาท/ปี ซึ่งสูงเมื่อเทียบต่างประเทศ การเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% จากรายได้ดอกเบี้ย นอกเหนือจากการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนั้น ต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ จะอยู่สูงถึง 1.5-2%

เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เสนอแนะลูกค้า ผู้ลงทุนว่า หากยังมีความสามารถในการชำระหนี้ ให้คงชำระหนี้ตามกำหนดต่อไป เพราะประวัติการชำระหนี้ เป็นเรื่องสำคัญทั้งในแง่ของลูกค้า และธนาคาร

ด้านนายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะฟื้นตัว ซึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนัก จากเศรษฐกิจโลก คือ ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไม่มาก คือ อาหาร สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากวิกฤตินี้ คืออุตสาหกรรมที่มีฐานลูกค้าในประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ