สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและสกุลเงินปอนด์ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 ก.พ.) หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนม.ค.ที่ดิ่งลงหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2517
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.2928 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.2783 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ 1.4797ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4617 ดอลลาร์/ปอนด์
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 91.980 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 91.120 เยน/ดอลลาร์ แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1633ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1704 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 0.6757 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6518 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 0.5326 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5164 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานประจำเดือนม.ค. ทำสถิติดิ่งลงหนักสุดในรอบ 35 ปีที่ 598,000 ตำแหน่ง และรุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 524,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับ 7.6% เมื่อเทียบกับระดับ 7.2% ในเดือนธ.ค.ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2535 และสูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 7.5%
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐต้องสูญเสียแรงงานในระบบไปแล้วทั้งหมด 3.6 ล้านคนนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจถดถอยก่อตัวขึ้นในเดือนธ.ค. 2550
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ตัวเลขการกู้ยืมเงินผู้บริโภคเดือนธ.ค.ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในรอบ 17 ปี เนื่องจากภาคครัวเรือนปรับลดการใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ฝังรากลึกประกอบการการปลดพนักงานที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โจเซฟ เทรวิซานี นักวิเคราะห์จาก FXSolutions กล่าวว่า ตลาดกำลังจับตาว่าวุฒิสภาจะลงมติผ่านมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งหากมาตรการดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาความวิตกกังวลในตลาดจะเริ่มคลี่คลายลง และจะช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์กระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง แต่ในส่วนของเงินยูโรนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะดีดตัวกลับขึ้นมาอยู่ในช่วงขาขึ้นได้
โดยล่าสุด ธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมที่ระดับ 2% ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษปรับลดดอกเบี้ยลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา