นายกรัฐมนตรีเผยการทาบทามกู้เงินต่างประเทศเพื่อใช้รองรับ หากภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ปี 52 หรือครึ่งหลังปีนี้ยังไม่ดีขึ้น ยังไม่ได้และกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง แต่ยังไม่ได้เป็นการกู้เงินจริง และยืนยันฐานะการเงินไทยยังมั่นคงดูจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันเงินคงคลังก็ไม่มีปัญหา และในอีก 2 สัปดาห์จะกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 53
"ที่ให้ไปเจรจา เงินกู้เหมือนจะเอาเงินใส่กระเป๋าไว้ก่อน ยังไม่ได้กู้จริง แค่เปิดช่องทางเอาไว้ เหตุผลที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพราะว่า เราไม่ทราบจริงๆว่า เศรษฐกิจ ในช่วงไตรมาส 2 ครึ่งปีหลังจะมีความผันผวนไปในทางใดอีก เพราะข่าวคราวในต่างประเทศหลายฝ่ายยังไม่คลายความกังวล ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ดำเนินการไปแล้วไม่เพียงพอ เราถึงจะเข้าไปใช้ช่องทาง กู้เงินตรงนี้ แต่ถ้าเราไม่มีความจำเป็น เราก็จะไม่ใช้ เพราะผมเองก็ไม่ต้องการให้มีการกู้หนิ้ยืมสินโดยไม่จำเป็น" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"เช้านี้
ดังนั้นการเจรจาทาบทามเงินกู้ต่างประเทศ ไม่ใช่มาทำเพื่อมาเสริมเงินสำรองระหว่างประเทศ แต่กู้เงินมาเพื่อการพัฒนาและการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในช่วงที่เราไม่สามารถจะหาเงิน ในส่วนอื่นมาได้ ผมได้ย้ำกับทางกระทรวงการคลังว่า กระบวนการที่จะเริ่มต้นทำกรอบนเจรจาเงินกู้ ก็ขอให้ไปทาบทาม ซึ่งปัจจุบัน ได้คุยกับธนาคารโลก,, ธนาคารเอเชียเพื่อการพัฒนา ไจก้า
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่าเงินสำรองระหว่างประเทศก็อยู่ในเกณฑ์ที่มั่นคงมาก เพียงแต่ตามกฎหมาย ต้องเก็บเงินสำรองระหว่างประเทศ จึงออมาใช้ไม่ได้
เช่นเดียวกับเงินคงคลังก็ไม่มีปัญหา รัฐบาลมีเงินเพียงพอที่ใช้จ่ายตามความจำเป็น ตามการใช้จ่ายของงบประมาณ แต่ขณะเดียวกันก็จะบริหารไม่ให้เงินสะสมตรงนี้มากเกินไป ซึ่งจะเป็นภาระและต้นทุนกับรัฐบาลเอง ก็ขอยืนยันกับกระทรวงการคลัง ว่าในขณะนี้ ไม่ได้มีปัญหาในการบริหารเงินคงคลัง เพราะตัวเลขทั้งหมด รัฐบาลได้ดูอย่างรอบคอบ และคาดว่าภายในอีก 2 สัปดาห์ รัฐบาลก็จะกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553