ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เสนอแนะให้รัฐบาลใช้แนวทางการลดภาษีให้กับประชาชนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพราะจะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้จ่ายมากกว่าการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับผู้ประกอบการ เพราะเชื่อว่าเอกชนคงไม่พิจารณาขยายการลงทุนในช่วงนี้
ส่วนการใช้งบประมาณกลางปี 1 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญเรื่องการแก้ไขปัญหาการว่างงานให้มากกว่านี้ เพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพียง 7 พันล้านบาท เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจ้างงาน 5 โครงการ ทั้งนี้หากแรงงานมีงานทำจะสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีคนว่างงานราว 5 แสนถึง 1 ล้านคน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า การใช้งบประมาณเพื่อไปอบรมแรงงานให้เป็นผู้ประกอบการ หลังจากอบรมเสร็จแล้ว 6 เดือนนั้น ตนเองเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจขณะนี้คงไม่มีใครกล้าลงทุนเป็นผู้ประกอบการใหม่ เพราะจะเสี่ยงต่อเงินลงทุน ดังนั้นเมื่อภาคเอกชนไม่ขยายการลงทุน ภาครัฐต้องเป็นผู้นำในการลงทุนโครงการต่างๆ และเมื่อเศรษฐกิจโลกถดถอย รายได้จากการส่งออกซึ่งเคยเป็นรายได้หลักของประเทศหายไปต้องกลับมาเน้นพึ่งพารายได้ในประเทศ และส่งเสริมด้านการเกษตร พัฒนาสินค้าเกษตรให้มีราคา การใช้จ่ายและลงทุนด้านการเกษตรจะเป็นแกนหลักสำคัญทดแทนรายได้จากการส่งออกได้
ขณะที่ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) จะพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในวันพรุ่งนี้(10 ก.พ.) โดยให้หน่วยงานภาครัฐช่วยค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อ เพราะจะทำให้สถาบันการเงินที่เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อยอมปล่อยเงินออกสู่ระบบ ทำให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น โดยวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 3-5 หมื่นล้านบาทน่าจะเพียงพอ
ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เชื่อว่า เอกชนคงไม่ยอมให้ธุรกิจของตัวเองล้มหายตายจากไปเพื่อให้รัฐเป็นผู้ชดเชยความเสี่ยงแทน เพราะสถาบันการเงินคงต้องดูแลลูกค้าที่มีแผนธุรกิจและแนวโน้มดี ไม่เช่นนั้นก็จะมีความเสี่ยงด้วยเช่นกันแม้จะมีผู้ช่วยค้ำประกันหนี้ให้
สำหรับการแผนงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ภาคเอกชนส่วนใหญ่เริ่มมีความเชื่อมั่นมากกว่าที่ผ่านมา แต่ช่วงนี้เป็นเพียงการวางนโยบายซึ่งต้องรอให้มาตรการต่างๆ ออกไปใช้ในเชิงปฏิบัติช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ ซึ่งจากการเดินไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นน่าจะทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้าใจสถานการณ์ของไทยมากขึ้น รวมถึงแผนเดินทางไปโรดโชว์ในประเทศต่างๆ น่าจะทำให้นักลงทุนต่างๆ มีความเชื่อมั่นบรรยากาศการลงทุนในไทยมากขึ้น