สิงคโปร์ เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ หรือสิงเทล ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปิดเผยว่า กำไรของบริษัทร่วงลง 16% ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงมากที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้รายได้ลดลง รวมทั้งสภาพการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดในประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย
รายได้สุทธิของบริษัทตกลง 16% แตะ 799 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 535 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5.01 เซนต์สิงคโปร์ต่อหุ้นจากระดับปีที่แล้วที่ 952 ล้านดอลลาร์สิงค์โปร์ ขณะที่นักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นคาดการณ์ว่า รายได้จะอยู่ 807 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนยอดขายอ่อนตัวลง 3.2% มาอยู่ที่ 3.7 พันล้านดอลลาร์สิงค์โปร์
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์สิงคโปร์ทะยานขึ้น 23% เมื่อเทียบกับเงินรูปีของอินเดีย และแข็งค่าขึ้น 15% เมื่อเทียบกับเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย ส่งผลให้รายได้ของบริษัท บาร์ตี แอร์เทล ซึ่งเป็นบริษัทของสิงเทลที่สามารถทำกำไรป้อนบริษัทได้มากที่สุด ฉั่ว ซอค กอง ซีอีโอของบริษัทต้องพบกับความท้าทายในการฟื้นการขยายตัวของรายได้ เนื่องจากผู้บริโภคได้ปรับลดการใช้จ่าย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ถดถอยลงอย่างหนัก และการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในออสเตรเลีย อินเดีย และอินโดนีเซีย
เทียว มาส เจ้าหน้าที่ของฟอร์ทิส อินเวสเมนท์ พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า ตลาดอินโดนีเซียมีการแข่งขันกันมาก ราคาค่าบริการก็ลดลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย รูปีอินเดีย และรูเปียอินโดนีเซียที่อ่อนค่าลงก็ส่งผลกระทบกับรายได้ของสิงเทล
รายได้สุทธิของสิงเทลจากธุรกิจในเอเชียนั้นร่วงลง 24% เหลือ 374 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 โดยรายได้จากบริษัท พีที เทเลโคมิวนิคาซี เซลูลาร์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียร่วงลงไป 51% แตะ 110 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เนื่องจากอัตราค่าบริการที่ถูกลง และเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่า