วุฒิสภาสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 61 ต่อ 37 ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 8.38 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ส่วนในขั้นต่อไปนั้น สภาคองเกรสซึ่งประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร จะนำร่างกฎหมายฉบับของวุฒิสภาไปเทียบเคียงกับร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจฉบับมูลค่า 8.19 แสนล้านดอลลาร์ที่ผ่านการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนหน้านี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปและผ่านความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภา จากนั้นจึงจะนำไปยื่นต่อประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 8.38 แสนล้านดอลลาร์ฉบับนี้มีความสำคัญสำหรับโอบามาซึ่งต้องการลงนามรับรองเป็นกฎหมายภายในวันที่ 16 ก.พ.นี้ โดยภารกิจโรดโชว์ของโอบามาในสัปดาห์นี้ รวมถึงเดินทางไปยังรัฐอินเดียนาในวันจันทร์ที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายที่จะเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของการสร้างงานภายในประเทศ
การลงมติผ่านมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 8.38 แสนล้านดอลลาร์เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ หลังจาก ประธานาธิบดีโอบามากล่าวในงานแถลงข่าวสื่อมวลชนครั้งแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐว่า เศรษฐกิจภายในประเทศกำลังเผชิญวิกฤตการณ์รุนแรง และจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อสร้างงานให้กับประชาชน
"จริงอยู่ที่เราไม่อาจพึ่งพารัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวในการสร้างงานหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ภาคเอกชนก็ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วย ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงเป็นเสมือนที่พึ่งเดียวในการกอบกู้เศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ผมจึงเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งผ่านแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็ว เพราะไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจจะเผชิญกับหายนะอย่างแน่นอน และหากเลื่อนการลงมติออกไป ก็จะยิ่งทำให้การแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ ยากขึ้นไปอีก เราได้เห็นบทเรียนเรื่องนี้เกิดขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1990 ซึ่งครั้งนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นไม่กล้าใช้มาตรการเชิงรุก และผลที่ตามมาก็คือเศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะวิกฤติรุนแรงขนาดที่เรียกว่า 'Lost Decade' " โอบามากล่าว
โอบามาคาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับนี้จะสามารถกระตุ้นการจ้างงานได้ถึง 4 ล้านตำแหน่ง ขณะที่เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของโอบามาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้นได้ แต่เตือนว่าเศรษฐกิจยังไม่สามารถขยายตัวอย่างยั่งยืนได้นอกเสียจากว่าจะใช้มาตรการฉบับดังกล่าวควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพในระบบการเงิน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน