สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.พ.) หลังจากนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ เปิดเผยมาตรการกอบกู้ภาคการเงิน และวุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของคณะทำงานบารัค โอบามา
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สกุลเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.2894 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.3009 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.4518 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4906 ดอลลาร์/ปอนด์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 90.360 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 91.460 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1573 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1639 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลงแตะระดับ 0.5240 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5394 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ ส่วนสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 0.6550 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6801 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยแผนช่วยเหลือภาคการเงิน ซึ่งครอบคลุมถึงการจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของธนาคารและกระตุ้นการปล่อยกู้ให้กับผู้บริโภค
ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลัง มีเป้าหมายที่จะใช้มาตรการฟื้นฟูสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงการจูงใจนักลงทุนเอกชนให้เข้าซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ และแผนการสกัดกั้นการยึดบ้านติดจำนอง โดยแผนการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเงินงบประมาณงวดที่ 2 ที่อยู่ในโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (TARP) วงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์
วุฒิสภาสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 61 ต่อ 37 ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 8.38 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว เพื่อปูทางให้ประธานาธิบดีโอบามา ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไปให้ทันวันที่ 16 ก.พ.นี้ ซึ่งการลงมติครั้งนี้เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ หลังจากประธานาธิบดีโอบามาเดินสายโรดโชว์ในสัปดาห์นี้ รวมถึงเดินทางไปยังรัฐอินเดียนาในวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของการสร้างงานภายในประเทศ