สำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ยอดการส่งออกในเดือนม.ค. 2552 ร่วงลงหนักที่สุดในรอบเกือบ 13 ปี เนื่องจากความต้องการสินค้าในสหรัฐและยุโรปหดตัวลง แนวโน้มการจ้างงานที่ย่ำแย่ เช่นเดียวกับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ทรุดตัวลง
ทั้งนี้ การส่งออกในเดือนม.ค.ของจีนร่วงลง 17.5% จากระดับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงมากกว่า 2.8% ในเดือนธ.ค. ขณะที่ผลการสำรวจของบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า ยอดส่งออกจีนจะลดลง 14%
ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ร่วงลงทำให้แรงงานอพยพของจีนตกงานถึง 20 ล้านคน นับเป็นสถานการณ์ที่สร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลต้องออกมากระตุ้นการบริโภค และประกาศขยายแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.85 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มนักวิจัยของรัฐบาลได้ออกโรงสนับสนุนให้รัฐบาลจัดการเงินหยวนให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เพื่อพยุงธุรกิจส่งออก ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจจะเพิ่มความตึงเครียดทางการค้าในช่วงวิกฤตการเงินโลกที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
ดาเรียส โควาสกี หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของเอสเจเอส มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า ประเทศพันธมิตรการค้ารายใหญ่ๆทั้งหมดของจีนล้วนอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นการกระตุ้นความต้องการภายในประเทศจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ การนำเข้าเมื่อเดือนม.ค.ร่วงลง 43.1% จากระดับปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่บลูมเบิร์กได้รวบรวมข้อมูลเมื่อปี 2538 หลังจากที่ความต้องการวัตถุดิบสำหรับภาคการผลิตหดตัวลง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนตัว ขณะที่ยอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 3.91 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนยอดนำเข้าเมื่อเดือนธ.ค.ร่วงลง 21.3%