คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) มีมติให้ปรับทยอยขึ้นภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์และดีเซลเพิ่มอีก 60 สต./ลิตร เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีผลหลังเที่ยงคืนวันนี้ หลังจากรัฐบาลได้ปรับขึ้นภาษีสรรพามิตน้ำมันครั้งแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา 1.55 บาท/ลิตร
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม กบง.มีมติให้ปรับขึ้นราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการในส่วนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล ไบโอดีเซลทุกชนิด อีกลิตรละ 60 สตางค์ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น.วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ตามมาตรการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการชดเชยราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ เหลือการชดเชยเพียง 89 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องจ่ายเงินชดเชยวันละ 125 ล้านบาท
ส่วนสาเหตุที่ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เนื่องจากได้มีการจัดเก็บเต็มเพดานการจัดเก็บภาษีแล้ว
ทั้งนี้ ภาระของกองทุนน้ำมันฯ ที่ต้องชดเชยราคาน้ำมัน ได้แก่ แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เหลือ 2.88 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล์ อี 20 เหลือ 2.33 บาท/ลิตร, ดีเซล บี 2 เหลือ 1.58 บาท/ลิตร และดีเซล บี 5 เหลือ 0.26 บาท/ลิตร
ส่วนค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันปัจจุบัน เบนซิน 95 อยู่ที่ 5.34 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 อยู่ที่ 74 สตางค์/ลิตร, แก๊สโซฮอลล์ 95 อี 10 อยู่ที่ 1.32 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอลล์ 91 อี 10 อยู่ที่ 1.36 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล์ อี 20 อยู่ที่ 2.31 บาท/ลิตร, ดีเซล บี2 อยู่ที่ 2.11 บาท/ลิตร และดีเซล บี 5 อยู่ที่ 2.63 บาท/ลิตร
รมว.พลังงาน กล่าวว่า ทยอยปรับขึ้นราคาน้ำมันในครั้งต่อไปจะไม่ให้เกิน 1.50 บาท/ลิตร ตามมติ กบง. ทั้งนี้จะมีการไปตรวจสต็อกน้ำมันคงเหลือตามสถานีบริการน้ำมันต่างๆ ส่วนการตรวจสต็อกครั้งที่แล้วสามารถเก็บเงินได้รวม 163.1 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าการจัดเก็บเงินคืนทั้งหมดจะไม่เกิน 200 ล้านบาท ส่วนการนำเข้าก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) คาดว่าในปีนี้จะมีการนำเข้าแอลพีจีประมาณ 2-3 หมื่นตัน/เดือน