โคคา-โคล่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมรายใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 4 ปี 2551 ที่ปรับตัวลดลง 18% จากผลกระทบของเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับการปรับลดมูลค่าทางบัญชีหลายครั้ง แม้ว่ายอดขายทั่วโลกจะเพิ่มสูงเกินคาด 4%
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 โคคา-โคล่ามีรายได้ 995 ล้านดอลลาร์ หรือ 43 เซนต์/หุ้น ลดลงจากระดับ 1.21 พันล้านดอลลาร์ หรือ 52 เซนต์/หุ้นในปีก่อนหน้า ขณะที่ในปีที่ผ่านมารายได้ของบริษัทลดลง 3% ไปอยู่ที่ระดับ 7.13 พันล้านดอลลาร์จากระดับ 7.33 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
ในส่วนของผลกำไรตลอดทั้งปีนั้น ขยับลง 3% มาอยู่ที่ 5.81 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.49 ดอลลาร์/หุ้น จากระดับ 5.89 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.57 ดอลลาร์/หุ้นในปี 2550 ขณะที่ผลประกอบการประจำปีเพิ่มขึ้น 11% แตะที่ 3.194 หมื่นล้านดอลลาร์จากระดับ 2.89 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ โคคา-โคล่า บริษัทผู้จำหน่ายน้ำอัดลมสไปรท์ แฟนต้า น้ำส้มมินิทเมด และเนสทีมีแผนที่จะเร่งหั่นงบการใช้จ่ายเพื่อช่วยให้บริษัทประหยัดเงิน 500 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2554
โดยซีอีโอของโคคา-โคล่ากล่าวในการประชุมกับนักลงทุนว่า "เรายังคงต้องฟันฝ่ามรสุมทางเศรษฐกิจนี้ต่อไป และจะหาทางพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเพื่อสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งเพิ่มมูลค่าการดำเนินธุรกิจ และนำเสนอสิ่งที่ดีให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง"
ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลกหลายแห่งต่างเผชิญช่วงเวลาที่เลวร้ายในไตรมาสดังกล่าว เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าได้ฉุดรั้งตัวเลขผลกำไรจากยอดขายสินค้าในต่างประเทศ ซึ่งแกรี่ ฟายาร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของโคคา-โคล่ากล่าวว่า ส่วนต่างของสกุลเงินดอลลาร์กับเงินต่างประเทศจะฉุดรั้งรายได้ของบริษัทให้ลดลง 10-12% ในช่วงไตรมาสแรก