ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 ก.พ.) โดยดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์เมื่อเทียบกับยูโร หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ขู่หั่นอันดับเครดิตธนาคารในยุโรปตะวันออก ขณะที่ค่าเงินเยนดิ่งลงอย่างหนักหลังจากญี่ปุ่นเปิดเผยตัวเลขจีดีพีหดตัวรุนแรงและข่าวการลาออกของรมว.คลังญี่ปุ่นที่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สกุลเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 92.270 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 91.700 เยน/ดอลลาร์ (เหตุที่ต้องเทียบกับระดับของวันศุกร์เพราะตลาดเงินนิวยอร์กปิดทำการวันจันทร์ที่ 16 ก.พ.เนื่องในวันประธานาธิบดี) และแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1674 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1606 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรดิ่งลงแตะระดับ 1.2603 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.2777 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.4246 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4271 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 0.6366 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6489 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดิ่งลงแตะระดับ 0.5082 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5169 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
เดวิด กิลมอร์ นักวิเคราะห์จากฟอเรนจ์ เอกซ์เชนจ์ อนาไลติก กล่าวว่า ค่าเงินยูโรร่วงลงอย่างหนักหลังจากมูดีส์เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในยุโรปตะวันออกยังคงส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์และสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคแห่งนี้ ขณะที่เอสแอนด์พีระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อาจทำให้เอสแอนด์พีปรับลดอันดับเครดิตของธนาคารในยุโรปตะวันออก
ค่าเงินเยนร่วงลงอย่างหนักหลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2551 ของญี่ปุ่นหดตัวลง 12.7% ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบ 35 ปี นอกจากนี้ เงินเยนยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่านายโซอิชิ นาคากาว่า ประกาศลาออกจากตำแหน่งรมว.คลังญี่ปุ่นหลังจากที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องอาการมึนเมาระหว่างการแถลงข่าวภายหลังการประชุม G-7 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างมาก
ขณะที่เงินปอนด์ถูกเทขายหลังจากสมาพันธ์อุตสาหกรรมอังกฤษ (CBI) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษอาจหดตัวลง 3.3% จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะหดตัวลงเพียง 1.7% และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้ เศรษฐกิจอังกฤษจะหดตัวลงเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน