นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าในวันที่ 1-15 ก.พ.ที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลง 10% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และลดลง 13% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.52 เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ภาคอุตสาหกรรมและท่องเที่ยวลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลง
ยอดการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงมาจากการภาคอุตสาหกรรมและท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศมีสัดส่วน 70% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เนื่องจากการชะลอตัวของภาคส่งออกที่ยังคงติดลบต่อเนื่อง ส่งผลทำให้การใช้ก๊าซธรรมชาติที่ กฟผ.ซื้อจาก บมจ.ปตท.(PTT)ลดลงด้วย โดยล่าสุดมีปริมาณอยู่ที่ 2,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
อย่างไรก็ตาม การใช้ไฟฟ้าทั้งปีจะลดลง 4% เหมือนกับที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)คาดการณ์ไว้หรือไม่นั้น คงต้องรอดูในไตรมาส 1 และ 2 ปีนี้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร และในส่วนของ กฟผ.ได้มีการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด เพราะหากเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 2% กำไรของ กฟผ.ปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท
ผู้ว่าการ กฟผ.กล่าวว่า หากเศรษฐกิจไม่ขยายตัวจะทำให้รายได้และกำไร กฟผ.ลดลงจากปีก่อน ซึ่ง กฟผ.เตรียมออกพันธบัตรในปีนี้วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการลงทุน และ กฟผ.ได้ออกงวดแรกแล้ว 5,000 ล้านบาท เมื่อต้นเดือน ก.พ.และเดือน มี.ค.จะมีการออกอีกครั้งประมาณ 5,000 ล้านบาท
ส่วนกรณีเงินบาทอ่อนค่าถึงระดับ 35.30 บาท/ดอลลาร์นั้น ผู้ว่าการ กฟผ.กล่าวว่า หากค่าเงินบาทอ่อนก็จะมีผลต่อต้นทุนค่าเชื้อเพลิง เพราะปัจจุบันประเทศไทยต้องพึ่งพานำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศประมาณ 50% แต่หลังจากราคาน้ำมันลดลงส่งผลทำให้ต้นทุนก๊าซที่ผกผันตามราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป