ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวในการสัมมนา"ทางออกของคนไทยเพื่อรักมือกับวิกฤติเศรษฐกิจโลก" โดยคาดว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะใช้เวลาถึง 3 ปีกว่าจะฟื้นตัวจากวิกฤติการเงิน และในกรณีเลวร้ายสุดอาจใช้เวลานานถึง 5 ปี จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวไปด้วย สืบเนื่องจากการลงทุนและการส่งออกที่หดตัวลง
รัฐบาลควรจะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจหดตัว ไม่ใช่เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต โดยจะต้องเร่งการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าที่ได้เริ่มเดินหน้าไปแล้ว รวมทั้งเมกะโปรเจ็คต์ระบบน้ำ เพื่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานเตรียมการสนับสนุนภาคการผลิตในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะรัฐบาลยังสามารถสามารถก่อหนี้ได้เพราะสัดส่วนหนี่สาธารณะต่อจีดีพียังต่ำเพียง 37% และยังสามารถกู้เงินเพิ่มเติมได้อีก 1 ล้านล้านบาท
ส่วนระยะยาวจะต้องวางแผนใช้ประโยชน์จากพืชเกษตร โดยเฉพาะการนำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน อย่างเอทานอลและไบโอดีเซล ซึ่งก่อนหน้านี้เคยรณรงค์อย่างจริงจัง แต่เมื่อราคาน้ำมันลดลงโครงการนี้กลับแผ่วไป
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีเพื่อกระตุ้นภาคผลิต แต่ควรเน้นที่การกระตุ้นการบริโภคเพื่อช่วยผู้ประกอบการให้ขายสินค้าได้ เพราะถึงแม้ว่าผู้ประกอบการจะมีกำไรเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้นำไปขยายการลงทุนในระยะนี้ และยังไม่เห็นด้วยกับการแจกเงิน 2 พันบาทให้กับผู้มีรายได้น้อย เพราะไม่เห็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนั้น ยังไม่เห็นด้วยกับการสนับสนุนการอัดฉีดสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ เพราะว่าบริษัทที่ทำงานเป็นจะไม่หวังพึ่งสินเชื่อ แต่พวกที่ต้องการสินเชื่อคือพวกที่ธุรกิจมีปัญหาบริหารไม่เป็น ซึ่งอาจก่อผลเสียระบบธนาคารพาณิชย์ได้
"เวลานี้หวังพึ่งการลงทุนเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจยากมาก เพราะไม่มีการลงทุนเลย ขณะที่หวังการส่งออกก็ไม่ได้เพราะตอนนี้ยากมาก ดังนั้นรัฐต้องหวังพึ่งการบริโภคในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้เกิดการผลิตภายในประเทศ" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว