ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 ก.พ.) หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลเยอรมนีเตรียมใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ดอลลาร์พุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนหลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 94.230 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 93.810 เยน/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1747 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1771 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.2661 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.2537 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.4280 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4217 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้นแตะระดับ 0.6429 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6376 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์ทรงตัวอยู่ที่ 0.5097 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
เจมส์ ฮิวจ์ นักวิเคราะห์จากซีเอ็มซี มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงหลังจากนายปีเตอร์ สเตนเบิร์ก รมว.คลังเยอรมนีกล่าวว่า รัฐบาลอาจใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศและให้ความช่วยเหลือประเทศยุโรปที่มีขนาดเล็กกว่า ให้สามารถรอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก
สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยว่า เศรษฐกิจภายในประเทศหดตัวลง 2.1% ในไตรมาส 4 ปี 2551 นับเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสนับตั้งแต่ปี 2533 และยังเป็นการหดตัวลงต่อเนื่องกัน 3 ไตรมาส
นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเยอรมนีอาจปรับตัวสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนก.พ. หลังรัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดยสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาด 0.4% ในเดือนม.ค.โดยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้นเกินคาด 0.8% ในเดือนม.ค.โดยเพิ่มขึ้นเป็น ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ค. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและ พลังงาน เพิ่มขึ้นเกินคาด 0.4% เนื่องจากราคาพลังงานดีดตัวขึ้น แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำ