ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (24 ก.พ.) เพราะได้แรงหนุนจากการที่ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เชื่อมั่นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐเศรษฐกิจถดถอยจะสิ้นสุดลงภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินยูโร หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนที่ระดับ 96.850 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันจันทร์ที่ 94.470 เยน/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1600 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1678 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.2850 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2706 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.4482 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4486 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้นแตะระดับ 0.6502 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.6419 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.5138 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5077 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
ไบรอัน คิม นักวิเคราะห์จากยูบีเอส เอจี กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากเบอร์นันเก้แถลงต่อสภาคองเกรสเมื่อคืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) ว่า "เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงถดถอยลงในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ แต่คาดว่าภาวะถดถอยสิ้นสุดลงภายในปีนี้"
เบอร์นันเก้กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้นั้นทางรัฐบาลต้องผลักดันให้ตลาดสินเชื่อและตลาดการเงินกลับมาทำงานตามกลไกปกติ และรัฐบาลจะต้องให้ความช่วยเหลือธนาคารที่ประสบปัญหา เพื่อให้ธนาคารเหล่านี้สามารถทำกำไรได้อีกครั้ง นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังแสดงความเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรฮุบกิจการธนาคารพาณิชย์มาเป็นสมบัติของชาติ เพราะจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าของธนาคาร
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร เพราะได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 25.0 จุดในเดือนก.พ.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานจะยังคงซบเซาลงไปอีกระยะหนึ่ง
ขณะที่ S&P/Case Shiller เปิดเผยราคาบ้านเดี่ยวใน 20 เขตเมืองของสหรัฐ ร่วงลง 18.5% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนธ.ค. และร่วงลง 2.5% เมื่อเทียบเป็น รายเดือนในเดือนธ.ค.