เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังหดตัวอย่างรุนแรง โดยคาดว่าในระยะ 6 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการหดตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้ว แต่เชื่อว่าภาวะถดถอยจะสิ้นสุดลงภายในปีนี้ หากรัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาในระบบการธนาคารอย่างจริงจัง
"ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐมีแนวโน้มสิ้นสุดลงภายในปีนี้ แต่การที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้นั้นต้องอาศัยมาตรการที่แข็งแกร่งของเฟดและคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่จะผลักดันให้ตลาดสินเชื่อและตลาดการเงินกลับมาทำงานตามกลไกปกติอีกครั้ง ซึ่งจากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อว่าหากเราดำเนินการเช่นนี้ จะช่วยให้ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจสิ้นสุดลงภายในปีนี้อย่างแน่นอน และเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นในปีพ.ศ.2553" เบอร์นันเก้กล่าวต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ
เบอร์นันเก้กล่าวว่า ในบรรดาความเสี่ยงที่สหรัฐอาจต้องเผชิญนั้น รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศอื่นๆที่อาจรุนแรงเกินความคาดหมาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐและทำให้ตลาดการเงินในสหรัฐเปราะบางด้วย ส่วนความเสี่ยงอีกด้านหนึ่งคือการที่เฟดและรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถแก้ปัญหาตัวเลขว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง และราคาบ้านที่ตกต่ำลงอย่างหนัก สถานการณ์เช่นนี้จะบีบให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายและภาคเอกชนลดการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงมากขึ้น
"การตัดตอน "วงจรตกต่ำในตลาดแรงงาน" ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 7.87 แสนล้านดอลลาร์ที่ประธานาธิบดีโอบามาเพิ่งลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อไม่นานมานี้ และเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงสู่ระดับ 0.25-0%" เบอร์นันเก้กล่าว
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังแสดงความเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรฮุบกิจการธนาคารพาณิชย์มาเป็นสมบัติของชาติ เพราะจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าของธนาคาร โดยแนวทางที่ดีที่สุดคือการให้ความช่วยเหลือธนาคารที่ประสบปัญหา เพื่อให้ธนาคารเหล่านี้สามารถทำกำไรได้อีก
การแสดงความคิดเห็นของเบอร์นันเก้เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 236.16 จุด หรือ 3.32% แตะที่ 7,350.94 จุดเมื่อคืนนี้ หลังจากดัชนีดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปีเมื่อวันจันทร์ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน