สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.ร่วงลง 5.3% เหลือเพียง 4.49 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 12 ปีขณะที่ราคาบ้านโดยเฉลี่ยลดลง 14.8% เหลือเพียง 170,300 ดอลลาร์
ลอว์เรนซ์ ยุน หัวหน้านักวิเคราะห์ของ NAR กล่าวว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% แตะ 4.79 ล้านหลังต่อปี โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายบ้านทรุดตัวลงอย่างหนักมาจากการที่ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตัวเลขว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นยังทำให้ผู้บริโภคลังเลที่จะเข้าซื้อบ้าน
"อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นในไม่ช้านี้เนื่องจากแรงจูงใจหลายด้าน รวมถึงการที่รัฐบาลสหรัฐประกาศว่าจะใช้มาตรการฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมถึงการลดภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรก" ยุนกล่าว
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศใช้มาตรการฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อป้องกันมิให้ชาวอเมริกัน 9 ล้านครัวเรือนถูกยึดบ้านที่ติดจำนอง รวมทั้งเปิดเผยแนวทางการสกัดกั้นภาวะขาลงของราคาบ้าน ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ โดยการแถลงครั้งนี้มีขึ้นไม่นานหลังจากโอบามาลงนามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 7.87 แสนล้านดอลลาร์ให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
ทั้งนี้ NAR คาดการณ์ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 0.25-0% จะช่วยให้ยอดขายบ้านปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 900,000 ยูนิตในปี 2552 เมื่อเทียบกับก่อนที่จะประกาศใช้มาตรการดังกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน