"เบอร์นันเก้"ย้ำจุดยืนรัฐไม่ควรฮุบกิจการธนาคารยักษ์ใหญ่ รวมถึงซิตี้กรุ๊ป

ข่าวต่างประเทศ Thursday February 26, 2009 11:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย้ำจุดยืนในระหว่างแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ว่า รัฐบาลไม่ควรยึดกิจการธนาคารพาณิชย์มาเป็นสมบัติของชาติ รวมถึงธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างซิตี้กรุ๊ป

"การยึดธนาคารพาณิชย์เป็นสมบัติของชาติ หมายถึงการที่รัฐบาลรวบสินทรัพย์และการบริหารจัดการมาเป็นของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ และไม่เปิดทางให้ผู้อื่นเข้ามาถือหุ้น ซึ่งผมเห็นว่ารัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเข้าไปถือหุ้นส่วนน้อยในธนาคารรายใหญ่อย่างซิตี้กรุ๊ปหรือธนาคารรายอื่นๆ โดยเฉพาะในกรณีของซิตี้กรุ๊ปนั้น เราควรจะรอดูผลการทดสอบความสามารถในการรักษาฐานะทางการเงินเสียก่อน" เบอร์นันเก้กล่าว

ทั้งนี้ เบอร์นันเก้กล่าวถึงแผน stress test หรือ การทดสอบความสามารถในการรักษาฐานะทางการเงินของ 19 ธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ รวมถึง ซิตี้กรุ๊ป, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส และโกลด์แมน แซสค์ เพื่อประเมินว่าสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีเงินทุนเพียงพอที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ โดยเฟดและบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (FDIC) ได้รับเชิญเป็นคณะกรรมการในการตรวจสอบครั้งนี้ด้วย

เบอร์นันเก้กล่าวว่า หากผลการตรวจสอบ stress test บ่งชี้ว่าธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งต้องการเงินทุนเพิ่มเติม ธนาคารแห่งนั้นก็จะมีเวลา 6 เดือนในการระดมทุนจากภาคเอกชน แต่หากไม่สามารถระดมทุนได้ รัฐบาลก็จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ และหากธนาคารใดสามารถสอบผ่านการทดสอบ stress test ก็ไม่จำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจติดตามความเคลื่อนไหวของจำนวนหุ้นในซิตี้กรุ๊ปหรือธนาคารรายอื่นๆ หรืออาจเข้าไปถือหุ้นส่วนน้อยในธนาคาร

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ซิตี้กรุ๊ปได้เจรจากับหน่วยงานของรัฐบาลในเรื่องการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ที่สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้ในซิตี้กรุ๊ป

ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น เบอร์นันเก้แสดงความเห็นว่าจำนวนบ้านที่ไม่สามารถขายได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งอาจฉุดราคาบ้านร่วงลงอย่างรุนแรง และอาจสร้างความเสียหายต่อปัจจัยพื้นฐานของภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.ร่วงลง 5.3% เหลือเพียง 4.49 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 12 ปีขณะที่ราคาบ้านโดยเฉลี่ยลดลง 14.8% เหลือเพียง 170,300 ดอลลาร์

ทั้งนี้ ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% แตะ 4.79 ล้านหลังต่อปี โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายบ้านทรุดตัวลงอย่างหนักมาจากการที่ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตัวเลขว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นยังทำให้ผู้บริโภคลังเลที่จะเข้าซื้อบ้าน สำนักข่าวเอพีรายงาน



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ