กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.ร่วงลง 10.2% เหลือเพียง 309,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 43 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่ายอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.จะอยู่ที่ 330,000 ยูนิต
หากพิจารณาเป็นรายภูมิภาค ยอดขายบ้านใหม่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐร่วงลง 12.5% ภูมิภาคตะวันตกลดลง 28% เขตมิเวสต์ลดลง 5.6% และภูมิภาคทางตอนใต้ปรับตัวลง 6.5%
ส่วนราคากลางของบ้านใหม่ ร่วงลง 13.5% เหลือเพียง 201,100 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2546 อย่างไรก็ตาม จำนวนบ้านใหม่ค้างสต็อกในเดือนม.ค.ลดลง 3.1% สู่ระดับ 342,000 ยูนิต ซึ่งปรับตัวลดลงติดต่อกันยาวนานถึง 13 เดือน
ก่อนหน้านี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.ร่วงลง 5.3% เหลือเพียง 4.49 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 12 ปีขณะที่ราคาบ้านโดยเฉลี่ยลดลง 14.8% เหลือเพียง 170,300 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% แตะ 4.79 ล้านหลังต่อปี โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายบ้านทรุดตัวลงอย่างหนักมาจากการที่ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตัวเลขว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นยังทำให้ผู้บริโภคลังเลที่จะเข้าซื้อบ้าน
ยอดขายบ้านใหม่ที่ร่วงลงอย่างหนัก เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง 88.81 จุด หรือ 1.22% ปิดที่ 7,182.08 จุดเมื่อคืนนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน