นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมตรี คาดในไตรมาส 4/52 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว และจีดีพีจะเป็นบวกได้ หลังยอมรับจีดีพีในไตรมาส 1/52 คงติดลบรุนแรงใกล้เคียงกับไตรมาส 4/52 ที่จีดีพีติดลบ 4.3% และในไตรมาส 3/52 จะชะลอการหดตัวของเศรษฐกิจได้ หลังจากการที่รัฐบาลได้ประเมินสถานการณ์จากตัวเลขการส่งออก และการค้าระหว่างประเทศ หดตัวอย่างรุนแรง
"เราจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ในปีนี้ ผมได้ประเมินกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจใน3 เดือนแรกของปีนี้อาจจะติดลบและอาจจะติดลบรุนแรงเท่ากับหรืออาจจะมากกว่าใน 3 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว ที่ติดลบร้อยละ 4.3 จากนั้นเรามั่นใจมาตรการที่เราได้ดำเนินการตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการ 2 พันบาท การใช้จ่ายหมุนเวียนจะทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 การหดตัวน่าจะลดลง แล้วเราจะประเมินอีกครั้ง ในไตรมาส 3 ว่าจะสามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมายืนอยู่ในภาวะไม่เติบโต หรือไม่หดตัว ก่อนที่ไตรมาสที่ 4 ซึ่งเราตั้งความหวังไว้ว่าจะสามารถทำให้เศรษฐกิจมาขยายในแดนบวกได้อีก"นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์" เช้านี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ประเมินตัวเลขต่างๆทั้งในแง่ผลกระทบการส่งออก และการท่องเที่ยว เบื้องต้น รัฐบาลประเมินว่าการใช้งบประมาณเพิ่มเติม กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไปจนถึงการเตรียมการใช้จ่ายงบประมาณปีหน้า นั้นยังไม่พอ เพราะฉะนั้น รัฐบาลได้เตรียมแผนสำรองไว้ คือการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นโครงการที่จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ น่าจะมีความจำเป็น ชัดเจนแล้วในขณะนี้ ขั้นตอนต่อไปคือ กระทรวงการคลัง ซึ่งได้รับความเห็นชอบ ในเชิงหลักการให้ไปเจรจาเงินกู้ ก็จะเร่งนำกรอบการเจรจาเงินกู้เข้าสู่การพิจารณารัฐสภา
"ตั้งเป้าไว้ว่าถ้ารัฐสภาเห็นชอบ แล้วก็นำไปสู่การเจรจา เราก็จะมีเงินอีกก้อนซึ่งพร้อมที่มาใช้จ่าย ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นตรงนี้ ผมคิดว่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่รัฐบาล กำลังจะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ความเสียหายจากวิกฤตเศรษฐกิจ"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
พร้อมยืนยันว่าการกู้เงินจากต่างประเทศจะไม่สร้างภาระ และไม่หลุดจากกรอบนโยบายการเงินการคลัง ซึงรัฐบาลจะรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด