ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์อย่างคึกคักเพราะมองว่าเป็นแหล่งการลงทุนที่ปลอดภัยในยามที่ตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์การเงินที่ลุกลามไปทั่วโลก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนที่ระดับ 97.310 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 97.520 เยน/ดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินฟรังค์สวิสที่ 1.1758 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1706 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.2569 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2668 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์อ่อนตัวลงแตะระดับ 1.4045 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4309 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลงแตะระดับ 0.4922 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 0.4997 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และดอลลาร์ออสเตรเลียดิ่งลงแตะระดับ 0.6290 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6398 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
จาคอป อูบินา นักวิเคราะห์จาก Forex.com กล่าวว่า เทรดเดอร์เข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างคับคั่งเพราะมองว่าเป็นการลงทุนในปลอดภัยในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างหนัก โดยเมื่อคืนนี้ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วง 299.64 จุด หรือ 4.24% แตะที่ 6,763.29 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี หลังจากหลังจากบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) เปิดเผยตัวเลขขาดทุน
เอไอจีรายงานการขาดทุน 6.17 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ปี 2551 ซึ่งเป็นตัวเลขขาดทุนสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ผลประกอบการตลอดทั้งปี 2551 เอไอจีขาดทุนสุทธิ 9.93 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งการรายงานผลประกอบการของเอไอจีมีขึ้นในขณะเดียวกับที่กระทรวงการคลังสหรัฐ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ระบุว่า เอไอจี จะได้รับการอัดฉีดเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
"นักลงทุนไม่กล้าเสี่ยงในตลาดหุ้นในช่วงที่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงนำเงินมาพักไว้ในตลาดปริวรรตเงินตราด้วยการเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์เก็บไว้ ซึ่งกระแสความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยมีขึ้นหลังจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐในไตรมาส 4 ปี 2551 หดตัวลง 6.2%ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวรุนแรงสุดในรอบ 27 ปี" อูบินากล่าว
ส่วนค่าเงินยูโรและเงินปอนด์ร่วงลงหลังจากผู้นำกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู )ปฏิเสธข้อเรียกร้องขอความช่วยเหลือให้กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก รวมถึงมาตรการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะที่เยอรมนีเริ่มมีความวิตกกังวลต่อตัวเลขขาดดุลบัญชี หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
ผู้นำอียูได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของฮังการีที่ต้องการให้อียูออกเงินกู้ 1.80 แสนล้านยูโร (2.28 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก และแนะนำให้ค่ายรถสัญชาติยุโรปในเครือเจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) เปลี่ยนเป้าหมายไปขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลแทน
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยุโรปจะหดตัว 1.8% ในปีนี้ โดยเศรษฐกิจลัตเวีย อดีตสมาชิกสหภาพโซเวียตที่เคยมีการขยายตัวได้อย่างโดดเด่นเมื่อ 3 ปีก่อน จะหดตัว 6.9% ส่วนในโปแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันออกจะทรุดตัวลงสู่ระดับ 2% ซึ่งทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2545