โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป เปิดเผยยอดขายในสหรัฐที่ร่วงลงอย่างหนัก จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กดดันให้อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกเผชิญกับวิกฤตยอดขายที่ตกลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2524 ขณะที่ฮุนได มอเตอร์ โค มียอดขายที่ลดลงไม่มากนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ยอดขายรถของโตโยต้าและฮุนไดร่วงลง 34% จากระดับปีก่อน โตโยต้าค่ายรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกมียอดขายทรุดฮวบลง 40% ขณะที่ฮอนด้า มอเตอร์มียอดขายดิ่งลง 38% และนิสสัน มอเตอร์มียอดขายตกลง 37% ส่วนฮุนได ค่ายรถสัญชาติเกาหลีมียอดขายที่ขยับลงเพียง 1.5% ขณะที่บริษัทลูกอย่างเกีย มอเตอร์ส คอร์ปมียอดขายเพิ่มขึ้น 0.4%
"ฮุนไดและเกียยังสามารถเติบโตในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง" นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยยานยนต์ Edmunds.com กล่าว "บริษัททั้งสองทุ่มเงินก้อนพิเศษในการปรับโครงสร้างบริษัท โดยเกียมีตัวเลขการใช้จ่ายในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าจากปีก่อน"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ ประกอบกับความวิตกกังวลต่อตัวเลขการจ้างงานและการที่ผู้บริโภคบางรายเผชิญความยุ่งยากในการขอเงินกู้นั้นได้บั่นทอนความต้องการซื้อรถคันใหม่ในตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยยอดขายรายปีเมื่อเดือนที่ผ่านมาปรับตัวตามอัตราการขยายตัวของประชากรที่อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2503
อย่างไรก็ตาม ค่ายรถสัญชาติเอเชียสามารถชิงส่วนแบ่งในตลาดได้เพิ่มขึ้น 5.5% แตะที่ระดับ 47.3% แซงหน้าค่ายรถบิ๊กทรีจากสหรัฐ อย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ คอร์ป, ฟอร์ด มอเตอร์ โค และไครสเลอร์ ที่มีส่วนแบ่งในตลาด 44.3%
ทั้งนี้ จีเอ็มเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของบริษัทดิ่งลง 53% ขณะที่ยอดขายรถของฟอร์ดร่วงลง 48% ตามด้วยไครสเลอร์ที่มียอดขายตกลง 44% ซึ่งขณะนี้จีเอ็มและไครสเลอร์ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วยเงินกู้ของรัฐบาลมูลค่า 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในอุตสาหกรรมดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 9.12 ล้านคัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2524 ที่ขายได้เพียง 8.8 ล้านคัน
ด้านนักวิเคราะห์จาก Standard & Poor’s แสดงความเห็นว่า "สถานการณ์ในตลาดยานยนต์กำลังอยู่ในภาวะกดดัน และตลาดจะยังไม่ฟื้นตัวไปจนกว่าจะถึงปีหน้า "