นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้รายงานสถานการณ์การลงทุนในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.พ.52) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 141 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 108,700 ล้านบาท
อนึ่ง ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.51 มียอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 232 ราย โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.03 แสนล้านบาท
"ภาวะการลงทุนในช่วงต้นปี 2552 พบว่านักลงทุนยังสนใจเข้ามาลงทุนในไทย" นายชาญชัย กล่าว
รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า มีความมั่นใจต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังมีความเข้มแข็ง ประกอบกับสถานการณ์ต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นในภาพรวมแล้วคาดว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะยาวของนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจจากต่างประเทศ
โดยโครงการสำคัญที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติจำนวน 2 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 81,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานกว่า 6,700 คน โดยกิจการด้านบริการและสาธารณูปโภคมีการลงทุนสูงสุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ คือ มีมูลค่าถึง 92,500 ล้านบาท
รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนจากนี้ไปจะเพิ่มมากขึ้นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานของภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการผลักดันให้ภาคเอกชนลงทุนในโครงการเหล็กขั้นต้นคุณภาพสูง และการเร่งรัดจัดหาพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นเขตอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหล็กและพลังงานทดแทน
นอกจากนี้ คาดว่าจะยังมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ เพื่อรองรับโครงการผลิตรถยนต์ที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และจะมีโครงการลงทุนเพิ่มในกิจการโรงไฟฟ้า ซึ่งมาจากการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(ไอพีพี) ด้วย