ธนาคารกลางยุโรปมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับลดครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีพ.ศ.2551
เอริค นีลสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ ในลอนดอน มองว่า การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปในครั้งนี้อาจจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นได้ ขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่า ธนาคารกลางยุโรปอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเศรษฐกิจมากกว่าที่จะเป็นผู้แก้ปัญหา เนื่องจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายถกเถียงกันมาโดยตลอดว่าจะลดดอกเบี้ยได้มากน้อยเพียงใด และจะใช้มาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจดีหรือไม่
"ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจช้าเกินไป และดำเนินการไม่รวดเร็วเท่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งความล่าช้าของธนาคารกลางยุโรปอาจทำให้เศรษฐกิจเสียหายถึง 1 แสนล้านยูโร (1.26 แสนล้านดอลลาร์) เรามองว่าการที่นายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป ไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเป็นเพราะเขาเกรงว่าการลดดอกเบี้ยต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดวิกฤตการเงินในอนาคต" นีลสันกล่าว สำนักข่าวบลุมเบิร์กรายงาน