ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์พุ่งเทียบสกุลเงินหลักๆ หลังตลาดหุ้นร่วงกระตุ้นนลท.แห่ซื้อดอลล์

ข่าวต่างประเทศ Tuesday March 10, 2009 07:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 มี.ค) เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าถือครองสกุลเงินดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงและภาคการธนาคารตกอยู่ในภาวะผันผวนอย่างหนัก

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 98.780 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 98.370 เยน/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1591 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1606 ฟรังค์/ดอลลาร์

ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.2600 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.2640 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์ดิ่งลงแตะระดับ 1.3780 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4077 ดอลลาร์/ปอนด์

ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลงแตะระดับ 0.4924 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5024 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดิ่งลงแตะระดับ 0.6314 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6405 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย

ไบรอัน คิม นักวิเคราะห์จาก ยูบีเอส เอจี กล่าวว่า นักลงทุนแห่เข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเนื่องจากตลาดหุ้นนิวยอร์กยังเคลื่อนไหวในช่วงขาลง นับตั้งแต่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะ 8.1% ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรร่วงลง 651,000 ตำแหน่ง โดยอัตราว่างงานเดือนก.พ.ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่เคยพุ่งสูงถึง 8.3% ในเดือนธ.ค.2526

เมื่อคืนนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 79.89 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 6,547.05 จุด หลังจากบริษัท เมิร์ค แอนด์ โค และบริษัท เชอริ่งพลาว คอร์ป สองบริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ประกาศว่า บอร์ดบริหารของบริษัทมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทั้งสองบริษัทควบรวมกิจการกันภายใต้ชื่อบริษัท เมิร์ค ซึ่งการควบรวมกิจการของสองบริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ครั้งนี้ได้สร้างความวิตกกังวลว่าอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ของสหรัฐอาจถูกกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

ส่วนค่าเงินปอนด์และยูโรยังคงได้รับแรงกดดันหลังจากธนาคารกลางอังกฤษตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ในวันเดียวกับที่ธนาคารกลางยุโรปมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับลดครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีพ.ศ.2551

หนังสือพิมพ์เดลี เมล์ของอังกฤษรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของนายชาร์ลส์ บีน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางอังกฤษว่า ธนคารกลางเตรียมอัดฉีดเงินเบื้องต้นมูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นธนาคารพาณิชย์ให้ปล่อยกู้และเพื่อยับยั้งเศรษฐกิจจากภาวะถดถอย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ