ริชาร์ด คลาร์ก ซีอีโอของเมิร์ค แอนด์ โค อิงค์ (Merck & Co., Inc.) บริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เข้าเทคโอเวอร์ เชอริ่งพลาว คอร์ป (Schering-Plough Corporation) บริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐเช่นกันนั้นเป็นการดำเนินการที่มีเป้าหมายทางด้านวิทยาศาสตร์ การซื้อกิจการของเชอริ่ง พลาว มูลค่า 4.11 หมื่นล้านดอลลาร์นี้ จะช่วยเพิ่มเทคโนโลยีการรักษาโรคข้ออักเสบ มะเร็ง และเส้นเลือดอุดตัน นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้บริษัทสามารถเตรียมพร้อมลงตลาดเพื่อแข่งขันในเรื่องยาที่มีการแข่งขันกันมากที่สุดในรอบ 3 ปี
ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า เชอริ่ง พลาว มีผลิตภัณฑ์ยาที่อยู่ในระหว่างการทดสอบขั้นสุดท้าย ซึ่งอาจจะสามารถทำยอดขายต่อปีได้ถึง 6 พันล้านดอลลาร์ และผลิตภัณฑ์ยาชั้นนำเหล่านี้ก็ยังไม่หมดอายุการคุ้มครองตามสิทธิบัตร
การควบรวมกิจการ ซึ่งถือเป็นการซื้อกิจการครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ 122 ปีของเมิร์คนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ไฟเซอร์ อิงค์ ได้ตกลงซื้อไวเอท เป็นเงิน 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่โรช โฮลดิ้ง เอจี ก็พยายามที่จะสรุปข้อตกลงในการเทคโอเวอร์เจเนนเทค อิงค์ มูลค่า 4.57 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ จะยิ่งสร้างแรงกดดันให้บริษัทยาเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบริสทอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ โค ให้เดินหน้ารวมกิจการที่เกี่ยวกับการวิจัย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ขายดีของบริษัทจะสูญเสียการคุ้มครองทางสิทธิบัตร
บลูมเบิร์กรายงานว่า เนวิด มาลิค นักวิเคราะห์ของแมทริกซ์ คอร์ปอเรท แคปิตอล แอลแอลพี กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งใหญ่กำลังจะกลับมา เนื่องจากรายได้ในธุรกิจเภสัชกรรมไม่มีแนวโน้มว่าจะขยายตัว และการลดค่าใช้จ่ายก็ไม่สามารถทำได้มากนัก หากบริษัทใดก็ตามที่พลาดการควบรวมกิจการครั้งมโหฬารครั้งนี้แล้วก็มีความเสี่ยงที่จะสูญส่วนแบ่งการตลาดแน่นอน
เดวิด มอสโควิทซ์ นักวิเคราะห์ของแคริส แอนด์ โค กล่าวว่า ข้อเสนอของเมิร์คดูเหมือนว่าจะน้อยไป และอาจจะทำให้ผู้ถือหุ้นของเชอริ่ง พลาว ไม่พอใจ ขณะที่ทิม แอนเดอร์สัน นักวิเคราะห์ของแซนฟอร์ด ซี เบิร์นสไตน์ แอนด์ โค กล่าวว่า จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งมีสิทธิในยาต้านการอักเสบที่ขายดีอย่าง Remicade ของเชอริ่ง พลาวนั้น อาจจะเข้าร่วมการควบรวมกิจการครั้งนี้