เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในที่ประชุมสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตันว่า รัฐบาลสหรัฐจำเป็นต้อง "ยกเครื่อง" ระบบการกำกับดูแลด้านการเงินภายในประเทศ เพื่อเสริมสร้างสถานะของธนาคารพาณิชย์ กองทุนรวม และสถาบันการเงินขนาดใหญ่ให้สามารถอยู่รอดได้ในช่วงที่เศรษฐกิจทรุดตัวลง
"เราต้องมียุทธวิธีในการกำกับดูแลระบบการเงินทั้งระบบ และต้องป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น และผมขอเรียกร้องให้สภาคองเกรสใช้มาตรการที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับสถาบันการเงินรายใหญ่ที่เสี่ยงต่อการล้มละลาย" เบอร์นันเก้กล่าว ซึ่งสอดคล้องกับคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา และสภาคองเกรส ที่เริ่มเดินหน้าปรับโครงสร้างการบริหารจัดการระบบการเงิน และเตรียมตอบคำถามในที่ประชุมรมว.คลังกลุ่ม G20 ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่กรุงลอนดอน
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้เชื่อว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐจะสิ้นสุดลงในปีนี้หากรัฐบาลประสบความสำเร็จในการกู้วิกฤตการณ์ในภาคเอกชนและทำให้ตลาดการเงินกลับมาทำงานได้ตามปกติ หลังจากสหรัฐถูกกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นปีที่สองและถือเป็นสถิติที่ถูกกระทบยาวนานที่สุดในรอบ 25 ปี
ในการยกเครื่องการกำกับดูแลด้านการเงินนั้น เบอร์นันเก้ได้ให้แนวทางไป 4 ข้อ รวมถึงการที่สภาคองเกรสจะต้องบังคับใช้กฎหมายที่จะเปิดทางให้รัฐบาลเข้าบริหารจัดการกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ล้มละลาย โดยเฉพาะบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (FDIC) ที่ควรเข้ามาบทบาทในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อลดผลกระทบในระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ หรือ กลุ่มบริษัทที่ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มนั้น จำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงใดๆที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฟดกำลังพยายามใช้มาตรการที่ดีที่สุดเพื่อช่วยตรวจสอบสถาบันการเงินเหล่านี้และจะหาทางที่ดีที่สุดในการยับยั้งความเสี่ยง สำนักข่าวเอพีรายงาน