มอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยว่า หุ้นจีนที่ซื้อขายในฮ่องกงไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น จนกว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายเชิงรุกเพิ่มมากขึ้นเพื่อกระตุ้นอัตราการบริโภคภายในประเทศ พร้อมทั้งแนะว่าจีนควรปรับระบบเศรษฐกิจให้มีการพึ่งพาภาคธุรกิจส่งออกน้อยลง
นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า ถึงแม้บรรยากาศทางเศรษฐกิจของจีนเริ่มมีมุมมองในแง่บวกเพิ่มขึ้นหลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าตัวเลขผลผลิตดีดตัวขึ้น และเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายอาจใช้มาตรการฉบับใหม่เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการออกเงินกู้มากขึ้น แต่มาตรการดังกล่าวต้องครอบคลุมในส่วนของการดูแลรักษาสุขภาพและการศึกษาเพื่อให้ภาคครัวเรือนนำเงินออกมาใช้จ่ายให้เม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศในยามที่อุปสงค์ต่างประเทศชะลอตัว
นอกจากนี้ จีนจำเป็นต้องหามาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขภาวะไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยการกระตุ้นตลาดสินเชื่อ ส่งเสริมการลงทุนและเพิ่มอัตราการผลิต
ทั้งนี้ หากจีนไม่สามารถแก้ปัญหาด้านการส่งออกก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของจีน โดยในปีนี้ ดัชนี MSCI China Index ที่ใช้ชี้วัดสถานะการซื้อขายบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลง 12% แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศใช้มาตรการ 4 ล้านล้านหยวน (585 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันมิให้เศรษฐกิจในประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรปไปแล้วก็ตาม
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า ยอดการออกเงินกู้ในเดือนก.พ.เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านหยวน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 4 เท่า ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งชี้วัดกิจกรรมภาคการผลิตเดือนก.พ.เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 แล้ว
อย่างไรก็ตาม มอร์แกน สแตนลีย์คาดว่า จีนจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านหยวนเพื่อใช้เป็นกองทุนในการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพ ขณะที่เม็ดเงินอีก 3 แสนล้านหยวนนั้นจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาระบบการศึกษาให้ได้มาตรฐานครอบคลุมทั่วประเทศ