ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราเมื่อคืนนี้ (11 มี.ค.) หลังจากจีนและญี่ปุ่นเปิดเผยยอดเกินดุลการค้าที่ร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่เกิดขึ้นในจีนและญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบต่อสหรัฐด้วย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.2849 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันอังคารที่ 1.2670 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์ดีดตัวขึ้นแตะระดับ 1.3869 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.3746 ดอลลาร์/ปอนด์
ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 97.250 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 98.690 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1530 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1607 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 0.5067 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5026 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดีดตัวขึ้นแตะระดับ 0.6508 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6456 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
นักลงทุนเทขายดอลลาร์เพราะมองว่ายอดส่งออกและยอดเกินดุลการค้าของจีนและญี่ปุ่นที่ร่วงลงอย่างหนัก อาจดับความคาดหวังของคณะทำงานบารัค โอบามา ที่ต้องการจะใช้ยอดเกินดุลการค้าของจีนและญี่ปุ่นมาช่วยลดตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในสหรัฐ
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ยอดเกินดุลการค้าเดือนก.พ.ของจีนร่วงลงแตะระดับ 4.8 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากตัวเลขส่งออกทรุดตัวลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ 25.7% ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลจีนต้องเร่งใช้มาตรการกระตุ้นอัตราการอุปโภคบริโภคภายในประเทศเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะถดถอย
กระทรวงคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าในเดือนม.ค.พุ่งขึ้นสู่ระดับ 9.526 แสนล้านเยน (9.92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเป็นตัวเลขขาดดุลการค้าที่สูงสุดนับตั้งแต่รัฐบาลเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2522 ท่ามกลางภาวะที่ญี่ปุ่นมียอดนำเข้าพุ่งแซงหน้ายอดส่งออกมาต่อเนื่อง 4 เดือน
ค่าเงินยูโรได้รับแรงหนุนจากนายแอ็กเซล เวเบอร์ คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรปและประธานธนาคารกลางเยอรมนีแสดงความเห็นว่า เขาไม่ต้องการให้ธนาคารกลางยุโรปลดดอกเบี้ยลงอีก หรือหากจำเป็น ก็ไม่ควรปรับลดลงมากนัก
เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรปมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับลดครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีพ.ศ.2551