นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)คาดว่า ในปี 52 กบข.จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 2% แม้จะเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ จากในปี 51 กบข.มีผลตอบแทนติดลบ 5.121% และผลประโยชน์สุทธิติดลบ 4,216 ล้านบาท
และในไตรมาสแรกของปีนี้ยังสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ แต่อาจเป็นบวกไม่มากนักเพราะตลาดเป็นช่วงขาลง ซึ่ง กบข.จะต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนทุกเดือน โดยปัจจุบัน กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 12% จากเพดานการลงทุน 30%
นอกจากนี้ ในอีก 2 เดือนข้างหน้า กบข.เตรียมจัดทำแผนการลงทุนไว้ให้สมาชิกเลือกตามความพอใจ 3 แผน ได้แก่ แผนการลงทุนในปัจจุบัน, แผนการลงทุนที่การลงทุนในหุ้นมีสัดส่วนน้อยหรือไม่มีเลย และ แผนการลงทุนที่เน้นสัดส่วนการลงทุนในในหุ้นมากกว่าปกติ
นายวิลิฐ กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวไปตาม พ.ร.บ.กบข.ฉบับใหม่ เพื่อให้สมาชิกสามารถเลือกลงทุนได้ตามความสนใจ โดยอาจเลือกลงทุนเฉพาะตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว เพื่อคลายความกังวลเรื่องความเสี่ยง
"อยากให้สมาชิกมีความมั่นใจ เพราะเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นใจ ยืนยันว่า กบข.มีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจนอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ กำหนด ไม่มีการลงทุนนอกกรอบที่กำหนด เพราะ กบข.ยังยึดการเป็นผู้นำด้านธรรมาภิบาลของประเทศ" นายวิสิฐ กล่าว
พร้อมกันนั้น นายวิสิฐ ยังปฏิเสธข่าวที่ว่าการลงทุนในปี 51 ประสบภาวะขาดทุน 7.4 หมื่นล้านบาท โดยระบุว่ากรณีที่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)ออกมากล่าวถึงการการตรวจสอบทรัพย์สินของ กบข.ช่วงกลางปี 51 ที่ขาดทุน 74,000 ล้านบาท ตามการร้องเรียนของข้าราชการสมาชิกนั้น
โดยข้อเท็จจริงแล้ว ช่วง 30 มิ.ย. 51 กบข.มีทรัพย์สิน 376,286 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินทรัพย์สุทธิของสมาชิก 302,229 ล้านบาท และยังมีเงินสำรองอยู่ในบัญชีอีก 74,000 ล้านบาทที่ไม่ได้นำมารวมไว้เท่านั้น โดยเงินสำรองดังกล่าวรัฐจะมีการตั้งงบประมาณรายจ่ายเป็นรายเป็น จำนวนไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายบำเหน็จบำนาญของข้าราชการประจำปีมาเข้าบัญชีเงินสำรองทุกปี จนกว่าเงินสำรอง เงินกองกลาง และดอกเผลของเงินดังกล่าวจะมีจำนวน 3 เท่าของงบประมาณรายจ่ายบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ดังนั้น ยอดเงินที่เป็นข่าว 302,229 ล้านบาทนั้น เป็นในส่วนของทรัพย์สินของสมาชิก ที่ยังไม่ได้รวมเงินสำรอง
ขณะที่ ยอดสินทรัพย์สุทธิของ กบข. เมื่อสิ้นปี 51 อยู่ที่ 391,881 ล้านบาท แยกเป็นเงินต้น ในส่วนที่เป็นสินทรัพย์สุทธิของสมาชิก 308,240 ล้านบาท และ สินทรัพย์สุทธิ สำรอง 83,640 ล้านบาท และในส่วนของสินทรัพย์ของสมาชิก แยกเป็นเงินต้น 213,787 ล้านบาท และผลประโยชน์ 94,453 ล้านบาท
และเมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนในส่วนของสมาชิก ช่วง 12 ปี ตั้งแต่การก่อตั้ง กบข. กับผลตอบแทนจากเงินฝากออมทรัพย์ พบว่า กบข.สามารถสร้างผลตอบแทนให้สมาชิกได้ถึง 123.73% หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 7.04% ต่อปี ดังนั้น เงินต้นของสมาชิก 1 แสนบาท ในช่วง 12 ปี เงินต้นและผลประโยชน์ของสมาชิกอยู่ที่ 223,732 บาท ขณะที่ผลตอบแทนจากเงินฝากออมทรัพย์ช่วง 12 ปี อยุ่ที่ 27.3% หรือเฉลี่ยผลตอบแทนอยู่ที่ 2.06% ส่วนเงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ฝากเงิน จะอยู่ที่ 127,302 บาท
"เรื่องนี้ ได้ชี้แจง เลขาธิการ ป.ป.ท.ไปแล้ว เกี่ยวกับตัวเลข และที่มาที่ไปของเงินต่าง ๆ ซึ่งเท่าก็เข้าใจดี ส่วน ป.ป.ท.จะมีการตรวจสอบต่อหรือไม่นั้น ไม่ได้มีการพูดคุยกัน...เรากำลังคิดว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบใบแจ้งยอดเงินของสมาชิก ให้มีความชัดเจนและให้สมาชิกเข้าใจมากขึ้น " เลขาธิการ กบข. กล่าว