บมจ.ปตท.(PTT)แนะรัฐบาลตั้งคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย เพื่อร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่นิคมมาบตาพุด เพราะหากผู้ประกอบการไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในอนาคต
นายปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอุตสาหกรรมปิโตรเลียมขั้นปลาย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจน้ำมัน PTT กล่าวว่า รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาหลังมีการประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพราะไม่เช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะยาวได้
ในส่วนของ ปตท.มีโครงการที่ยังไม่ผ่านรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 7 เพื่อรองรับการใช้ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี)ที่เพิ่มขึ้นและการขยายกำลังผลิตปิโตรเคมี, โครงการปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันให้ได้มาตรฐานยูโร 4 ของโรงกลั่นน้ำมันต่างๆ ที่ต้องลงทุนอีก 1,500-2,000 ล้านดอลลาร์ และโครงการต่อเนื่องจากการดำเนินงานในปัจจุบันอีกเป็นจำนวนมาก
นายปรัชญา ยังเห็นด้วยกับมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)ที่อนุมัติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาทยอยชำระหนี้คืนให้กับ PTT กรณีสำรองจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซแอลพีจีกว่า 8,000 ล้านบาท งวดละไม่เกิน 500 ล้านบาท/เดือน เพราะแนวทางดังกล่าวที่จะทำให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลาการชำระเงินคืน ขณะที่แผนการนำเข้าแอลพีจีล็อตต่อไปจะมีการนำเข้าประมาณ 20,000 ตัน/เดือน เชื่อว่าจะชดเชยไม่เกิน 500 ล้านบาท/เดือน
ทั้งนี้ ปตท.เห็นว่าก๊าซแอลพีจีเป็นสินค้าจำเป็นของประเทศที่มีปริมาณการใช้สูงขึ้นทุกปี ดังนั้นจึงควรปล่อยให้ราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นลง สะท้อนราคาตลาดโลกที่แท้จริงจะดีกว่า เพราะอาจเกิดการใช้ที่ไม่คุ้มค่าและไม่มีประสิทธิภาพได้