กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ตำหนิสหรัฐและประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายอื่นๆว่ามีส่วนทำให้เศรษฐกิจโลกประสบปัญหา พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐและประเทศเหล่านี้ร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าว โดยระบุว่าโอเปคได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีแล้ว
"เรายังไม่เห็นสหรัฐและชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพมากพอในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรายังไม่เห็นว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ด้านบวกเกิดขึ้น แม้พวกเขาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือภาคเอกชนหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม" นายอับดุลเลาะห์ เอล บาดรี เลขาธิการโอเปคกล่าว
เอล บาดรี ยังกล่าวเตือนประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปคว่าไม่ควรฉวยโอกาสหาประโยชน์จากกลุ่มโอเปค โดยคำเตือนดังกล่าวพุ่งเป้าไปยังรัสเซียเรียกร้องโอเปคให้ใช้นโยบายการผลิตแบบเดียวกับรัสเซีย ซึ่งการแสดงความคิดเห็นของเลขาธิการโอเปคครั้งนี้มีขึ้นหลังจากโอเปคมีมติคงเพดานการผลิตในการประชุมครั้งล่าสุดที่กรุงเวียนนา และจะมีการประเมินสถานการณ์ในตลาดพลังงานอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 28 พ.ค.นี้ โดยปัจจุบันเพดานการผลิตน้ำมันของโอเปคอยู่ที่ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากชาติสมาชิกตัดสินใจลดเพดานการผลิตลง 4.2 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อปีที่แล้ว เพื่อสกัดกั้นราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างหนัก
"โอเปคไม่เคยกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของตนเองและพร้อมยอมรับกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ตกต่ำลง เพราะเราต้องการทำส่วนของเราให้ดีที่สุดในยามที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย แต่เราไม่ต้องการให้ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและราคาน้ำมันตกต่ำ" เอล บาดรีกล่าว
ทั้งนี้ เอล บาดรีกล่าวว่า "ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้น แม้รัฐบาลสหรัฐ ยุโรป และชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายอื่นๆ ใช้มาตรการฟื้นฟูครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศเหล่านี้ช้าต่อการตอบสนองวิกฤติการณ์ และยังไม่ได้ใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพมากพอ สิ่งที่เราต้องการเห็นคือการกระทำที่จริงๆ ไม่ใช่คำพูด"
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX เดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ 2.38% ปิดที่ 47.35 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนไม่ให้ความสนใจต่อมติของกลุ่มโอเปคที่คงเพดานการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ให้น้ำหนักกับการแสดงความเชื่อมั่นของเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐจะสิ้นสุดในปีนี้ สำนักข่าวเอพีรายงาน