ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 มี.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศเข้าซื้อพันธบัตรมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้นักลงทุนมองว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้เม็ดเงินสกุลดอลลาร์ในระบบมีอยู่เป็นจำนวนมาก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับเยนที่ 96.160 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 98.600 เยน/ดอลลาร์ และดิ่งลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1399 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1819 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3493 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันอังคารที่ 1.3012 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์ทะยานขึ้นแตะระดับ 1.4272 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4047 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้นแตะระดับ 0.6782 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.6616 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ทะยานขึ้นแตระดับ 0.5454 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5300 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
เดวิด โซลิน นักวิเคราะห์จาก Foreign Exchange Analytics กล่าวว่า นักลงทุนเทขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างหนักหลังจากเฟดประกาศใช้มาตการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ครอบคลุมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายผู้บริโภค, การปล่อยกู้ในภาคเอกชน และการจ้างงาน
นอกจากนี้ เฟดจะขยายการรับซื้อตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) อีก 7.50 แสนล้านดอลลาร์ และจะเข้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดย หรือ รับประกันโดยสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้านรายใหญ่ 2 แห่ง คือ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ในปีนี้ด้วย
"การที่เฟดใช้ยุทธศาสตร์การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรและตราสาร MBS จะทำให้มีเม็ดเงินสกุลดอลลาร์ในระบบอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจที่จะซื้อดอลลาร์ตุนไว้ และบางกลุ่มก็เทขาย จึงทำให้ดอลลาร์ดิ่งลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ" โซลินกล่าว
ในการประชุมเมื่อคืนนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ไว้เท่าเดิมที่ 0-0.25% และส่งสัญญาณว่าจะรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ในช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางอังกฤษตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.50% เนื่องจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับลดครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีพ.ศ.2551