ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้เฟดฉีดสภาพคล่องครั้งใหญ่ฟื้นวิกฤตเป็นข่าวดีระยะสั้น

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 19, 2009 16:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC)ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ได้สร้างสภาวะผ่อนคลายทางการเงินเพื่อช่วยบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อและพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ที่กรอบ 0.0-0.25%

พร้อมทั้งประกาศมาตรการเชิงปริมาณเพิ่มเติมเพื่อช่วยอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ประกอบด้วย การเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ การขยายวงเงินการรับซื้อตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสัญญาจำนองเป็น 1.25 ล้านล้านดอลลาร์ จาก 5 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มวงเงินการเข้าซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดยหน่วยงานด้านการจำนองที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นวงเงินใหม่ 2 แสนล้านดอลลาร์ จากเดิม 1 แสนล้านดอลลาร์

นับเป็นข่าวเชิงบวกที่ได้รับการตอบรับจากตลาดการเงินอย่างกว้างขวาง โดยภาพที่ชัดเจนมากขึ้นของการเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน เพื่อพลิกฟื้นกลไกการปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เมื่อประกอบเข้ากับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทีมบริหารของรัฐบาลสหรัฐ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนฟื้นคืนกลับมาบางส่วน

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แนวโน้มที่เปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากกิจกรรมภาคการผลิตที่ยังคงหดตัว ความไม่ชัดเจนของสัญญาณเสถียรภาพในตลาดที่อยู่อาศัย ขณะที่อัตราการว่างงานที่ยังคงมีโอกาสพุ่งสูงขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก จากระดับ 8.1% ในปัจจุบันนั้น ยังคงต้องการความต่อเนื่องของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเชิงปริมาณ นอกเหนือไปจากการยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำใกล้ 0%

ในระยะสั้นคงไม่สามารถปฏิเสธว่า มาตรการต่อสู้กับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ มาตรการแก้ไขสภาวะตึงตัวของตลาดสินเชื่อภาคเอกชน ตลอดจนการดำเนินการเสริมความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินของเฟดและทางการสหรัฐฯ นับเป็นข่าวเชิงบวก อาจจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และจะส่งผลทำให้ความต้องการเสี่ยงฟื้นกลับคืนมาสู่ตลาดหุ้น แต่ก็อาจส่งผลกดดันค่าเงินดอลลาร์ในทางกลับกัน

นอกจากนี้ ยังคงมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องการความชัดเจนก่อนที่จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ ในรอบนี้ ได้ผ่านพ้นสภาวะที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยประสิทธิผลของมาตรการของทางการสหรัฐฯ และเฟด อาจถูกประเมินผลจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องด้วยข้อมูลที่จะทยอยถูกเปิดเผยออกมาในระยะถัดไป โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงาน และราคาที่อยู่อาศัย ตลอดจนเครื่องชี้ในภาคเศรษฐกิจจริงอื่นๆ ซึ่งหากความคาดหวังในเชิงบวกยังไม่ถูกยืนยันด้วยความชัดเจนของแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ว่า ค่าเงินดอลลาร์ อาจกลับมาได้รับแรงหนุนจากกระแสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนระลอกใหม่อีกครั้ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เนื่องจากการขยายงบดุลของเฟดผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในรอบนี้ มีความแตกต่างไปจากการเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ในช่วง 40 ปีก่อนหน้า (ช่วง ค.ศ. 1961-1965) ที่ปริมาณเงินในระบบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก (มีการ Sterilization) เพราะเป็นการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวและขายพันธบัตรระยะสั้น โดยการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ 3 แสนล้านดอลลาร์ของเฟดในรอบนี้ อาจจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในระบบเพื่อเอื้อต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ

ดังนั้น สิ่งที่ยังต้องติดตามก็คือแนวโน้มเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย เช่น สภาพคล่องปริมาณเงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการขยายขนาดงบดุลของเฟด และการปรับตัวของราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจากความหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มเงินเฟ้อดังกล่าวอาจจะกลายมาเป็นเงื่อนไขที่สร้างข้อจำกัดให้กับเฟดในการใช้งบดุลของตนเพื่อสนับสนุนตลาดสินเชื่อและเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคต

ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่เฟดอาจต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้นในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเฟดอาจสามารถสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงปริมาณเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำเท่านั้น ขณะที่เฟดอาจจะต้องเตรียมกระบวนการถอยออกจากมาตรการขั้นพิเศษเชิงปริมาณดังกล่าวทันทีที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อปรับเพิ่มระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ