สหรัฐเผยยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเกินคาดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องกลับพุ่งทำระดับสูงสุดระดับใหม่เป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ในขณะเดียวกันมีนักเศรษฐศาสตร์เพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าตลาดแรงงานสหรัฐจะฟื้นตัวในเร็ววันนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกปรับตัวลดลงเหลือ 646,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 658,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งถือว่าดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้มาก
-- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2552 จะหดตัวลงราว 0.5-1% ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวครั้งแรกในรอบ 60 ปี และมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนม.ค.ว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลง 0.5% ในปีนี้ พร้อมกับแนะนำฐบาลทั่วโลกให้ใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ดังกล่าว
ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัว 2.6% ซึ่งมากกว่าเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะหดตัวลงเพียง 1.6% ซึ่งการทบทวนตัวเลขคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟมีขึ้นหลังจากธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะหดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และคาดว่าการค้าทั่วโลกจะถดถอยลงรุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปี
-- วุฒิสภาสหรัฐวางแผนที่จะลงคะแนนเสียงร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีเงินโบนัส 90% กับพนักงานของบริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นเนล กรุ๊ป อิงค์ (เอไอจี) และบริษัทเอกชนรายอื่นๆที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในสัปดาห์หน้า หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างท่วมท้นถึง 328 ต่อ 93 เสียง
--สกุลเงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อเทียบกับเงินเยน เมื่อดูจากการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคซึ่งขณะนี้เงินยูโรสามารถพุ่งฝ่าระดับ 131.04 เยน/ยูโร
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 12:45 น.ตามเวลาสิงคโปร์ เงินยูโรเทรดที่ระดับ 129.14 เยน/ยูโร จากระดับ 129.17 เยน/ยูโร ส่วนสกุลเงิน 16 สกุลเคลื่อนไหวไต่ระดับขึ้น 2% เมื่อเทียบกับเงินเยนนับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่ร่วงลง 22% ในปีที่แล้ว ซึ่งระดับที่ร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2542
-- เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นอินเดียจะร่วงลงถึงจุดต่ำสุดในช่วงกลางปีนี้ หลังภาวะผลผลิตอุตสาหกรรมตกต่ำสิ้นสุดลง
บารัต ไอเยอร์ นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกนกล่าวว่า โดยปกติแล้วตลาดหุ้นอินเดียจะฟื้นตัวหลังผลผลิตภาคอุตสาหกรรมพ้นจากจุดต่ำสุดไปแล้วราว 2-4 เดือน ซึ่งเราคาดว่าผลผลิตอุตสาหกรรมอาจร่วงลง 3% ในเดือนมี.ค-เม.ย.ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นได้ในเวลาต่อมา