นายวิรัช กาญจนพิบูลย์ รองผู้ว่าการกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำปี 52 ว่า แม้ปีนี้จะปีปริมาณน้ำโดยรวมลดลงจากปีก่อน เนื่องจากปีก่อนต้องระบายน้ำมากตามความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปีนี้ความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรจะลดลง ดังนั้นจึงคาดว่าปีนี้ กฟผ.จะสามารถระบายน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคเกษตรกรรมได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุดเมื่อ 1 มี.ค.พบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. รวมทั้งสิ้นประมาณ 44,076 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น71%ของความจุอ่างทั้งหมด น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียง 3.4% หรือคิดเป็น 2,125 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากมองในภาพรวมทั้งประเทศจะเห็นว่าปริมาณน้ำในปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถือว่ายังมีระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ปกติ
อย่างไรก็ตาม กฟผ.ขอให้ประชาชนรวมถึงเกษตรกรใช้น้ำด้วยความประหยัด เพราะหากใช้น้ำมากเกินไปในขณะที่ฤดูฝนล่าช้าหรือภาวะแห้งแล้งยาวนานกว่าปกติ จะส่งผลกระทบต่อการจัดสรรน้ำในปี 53 ได้
สำหรับข้อมูลปริมาณน้ำในเขื่อนแต่ละภาค พบว่า เขื่อนในภาคเหนือ (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล) มีน้ำรวมกัน 14,079 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 60.6% ของความจุอ่าง โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งมีระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลอยู่ที่ 55.4% ของความจุ ส่วนเขื่อนสิริกิติ์อยู่ที่ 67% ของความจุ
ขณะที่ภูมิภาคอื่นมีระดับอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยภาคกลาง-ตะวันตก (เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนท่าทุ่งนา เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนคิรีธาร) มีน้ำรวมกัน 21,521 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 79% ของความจุอ่าง โดยอ่างเก็บน้ำของทุกเขื่อนมีระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนน้ำพุง เขื่อนห้วยกุ่ม และเขื่อนปากมูล) มีน้ำรวมกันประมาณ 2,842 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 62% ของความจุอ่าง มีเพียงอ่างเก็บน้ำของเขื่อนสิรินธรที่มีระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ นอกนั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติค่อนข้างสูง ส่วนภาคใต้ (เขื่อนรัชชประภา และเขื่อนบางลาง) มีน้ำรวมกัน 5,635 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 79%ของความจุอ่าง โดยอ่างเก็บน้ำของทุกเขื่อนมีระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ปกติ