จาง หยูไถ่ ผู้อำนวยการศูนย์การวิจัยและพัฒนาของสภาจีนมองว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นรายแรกของโลก และจะสามารถรักษาระดับการขยายตัวให้คงที่ได้ทั้งในระยะกลางและระยะยาว เนื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.85 แสนล้านดอลลาร์เริ่มส่งผลในทางปฏิบัติ
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะมีการใช้ไปจนถึงปี 2553 นั้น ครอบคลุมถึงการใช้งบประมาณในการสร้างถนนหนทาง ทางรถไฟ และที่อยู่อาศัยนั้น อาจจะช่วยให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวขึ้นเพิ่มขึ้นอีก 1.9% ทางด้านนายหลี่ เกเจียง ก็ได้ออกมายืนยันว่า จีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวที่ 8% ได้ เนื่องจากอุตสาหกรรมบางประเภทของจีนเริ่มส่งสัญญาณของการฟื้นตัวแล้ว
ธนาคารโลกระบุว่า เศรษฐกิจจีนกำลังส่งสัญญาณในเบื้องต้นถึงการฟื้นตัว หลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาสนับสนุนการลงทุนเพื่อรับมือกับปัญหาการส่งออกที่ดิ่งลง และจีนเองก็มีเป้าหมายเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการค้าทั่วโลกจะซบเซา และเศรษฐกิจโลกหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
บลูมเบิร์กรายงานว่า การแสดงความคิดเห็นของนายจางสอดคล้องกับการรายงานข่าวของสื่อมวลชนเมื่อเดือนที่แล้วที่รายงานว่า นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่ามองว่า จีนจะเป็นประเทศแรกที่เศรษฐกิจฟื้นตัว
การคาดการณ์ของผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯที่ว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจนั้น เป็นการคาดการณ์ที่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้ประเมินไว้ ธนาคารโลกระบุในรายงานว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลจะคิดเป็นสัดส่วน 3 ใน 4 ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ ทางด้านสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ระบุว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะช่วยหนุนการขยายตัวถึง 3%
จีนเผชิญกับปัญหาการส่งออกที่ร่วงลง การว่างงานที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนตัวลง แรงงานต่างถิ่นต้องว่างงานเนื่องจากยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศร่วงลง ส่งผลให้โรงงานจำนวนมากต้องลดการผลิตลงหรือปิดโรงงานไป