มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาด ประกาศว่า ธนาคารจะลดพนักงาน 1,000 คน และปิดสาขาอีก 50 แห่ง ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกลงสู่ภาวะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
ความเคลื่อนไหวในการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้มีขึ้น หลังจากที่การผนวกรวมระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ มิตซูบิชิ โตเกียว ไฟแนนเชียล กรุ๊ป อิงค์ ได้ควบรวมกิจการกับยูเอฟเจ โฮลดิ้งส์ อิงค์ เมื่อเดือนต.ค. 2548
ทาคาชิ ทาเคอูชิ โฆษกของธนาคารเปิดเผยว่า มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซึ่งปิดสาขาไปถึง 70 แห่งหลังจากที่ได้ควบรวมกิจการนั้น จะปิดสาขาต่างๆเพิ่มอีก 50 แห่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า ด้านเครดิต สวิสคาดการณ์ว่า ธนาคารมิตซูบิชิ ยูเอฟเจอาจจะขาดทุนในปีงบการเงิน 2551 เนื่องจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และปริมาณหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น
บลูมเบิร์กรายงานว่า นานะ ออตสุกิ นักวิเคราะห์ของยูบีเอส เอจี กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะทำรายได้ตามเป้าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้น การลดต้นทุนจะเป็นประเด็นที่สำคัญสำหรับธนาคารของญี่ปุ่น มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ยังคงมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องจัดการเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่รายอื่นๆ
ปัจจุบัน ธนาคารมีสาขาอยู่ประมาณ 600 แห่ง และมีพนักงานกว่า 33,000 คน โดยธนาคารจะจัดสรรบุคลากรจากสำนักงานใหญ่ไปประจำยังสาขาต่างๆทั่วประเทศจำนวน 1,000 คน
ทั้งนี้ นอกจากภาคธนาคารแล้ว นิสสัน มอเตอร์ และเอ็นอีซี ก็ออกมาเปิดเผยเช่นกันว่า จะลดพนักงาน 20,000 คน ตามรอยบริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายอื่นๆ เช่น ฮิตาชิ และโซนี่ ที่ประกาศลดจำนวนพนักงานไปก่อนหน้านี้