องค์กรการค้าโลก (WTO) คาดการณ์ว่า มูลค่าการค้าทั่วโลกจะหดตัวลง 9% ในปีนี้ ซึ่งทำสถิติทรุดฮวบลงหนักสุดนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากในปี 2551 มูลค่าการค้าโลกขยับขึ้นเพียง 2% ขณะที่ในปี 2550 มูลค่าการค้าโลกขยายตัวที่ระดับ 6%
นอกจากนี้ WTO คาดว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ด้วยตัวเลขมูลค่าทางการค้าที่ดิ่งลง 10% ส่วนกลุ่มประเทศที่ยากจนกว่าจะมีอัตราการส่งออกที่ขยับลงเล็กน้อย 2-3%
นายปาสกาล ลามี ผู้อำนวยการ WTO ได้เรียกร้องให้ผู้นำทั่วโลกสกัดกั้นการใช้นโยบายปกป้องทางการค้า เพราะนโยบายดังกล่าวจะเป็นตัวบั่นทอนความพยายามของทั่วโลกในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งประเด็นนี้จะถูกหยิบยกขึ้นเป็นวาระสำคัญของการประชุม G20 ที่กรุงลอนดอนในวันที่ 2 เม.ย.นี้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ผอ.WTO กล่าวว่า ผู้นำกลุ่มประเทศ G20 จะมีโอกาสสำคัญในการรวมพลังสกัดกั้นการใช้มาตรการปกป้องทางการค้า พร้อมทั้งเตือนว่าหากมีการใช้นโยบายดังกล่าวมากขึ้นก็จะยิ่งก่อให้เกิดผลร้ายตามมา
"ความเคลื่อนไหวด้านการค้ามีความเกี่ยวข้องกับการจ้างงาน ดังนั้น รัฐบาลไม่ควรสร้างสถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้นมาซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ เพราะแท้จริงแล้วนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศไม่เคยปกป้องประเทศใด มีแต่จะยิ่งทำให้มีคนตกงานมากขึ้น"
อย่างไรก็ตาม WTO ได้กล่าวถึงสัญญาณบ่งชี้ในแง่บวกจากการส่งออกของจีน สิงคโปร์ ไต้หวัน และเวียดนามในเดือนก.พ.ที่เริ่มดีดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แต่เตือนว่า ยังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกนั้นจะฝังรากลึกลงมากแค่ไหน ซึ่งหากมูลค่าการค้าโลกร่วงลงหนักเกินคาดหรือฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เราก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวกันใหม่อีกครั้ง