สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)ปรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 52 มาที่ -3 ถึง -2% หรือเฉลี่ย -2.5% จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะเติบโต 0-2% หรือเฉลี่ยที่ 1% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรงและหนักกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าหลัก ขณะที่การใช้จ่ายในประเทศนั้น การลงทุนภาคเอกชนหดตัวตามคำสั่งซื้อในประเทศและต่างประเทศ ส่วนการบริโภคภาคเอกชนก็ยังฟื้นตัวช้า
สศค.คาดว่า GDP ของไทยจะหดตัวลงถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/52 และเชื่อว่าจะพลิกกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 4/52 เนื่องจากนโยบายต่าง ๆ ที่ภาครัฐนำออกมากระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มเห็นผล
"เศรษฐกิจไตรมาส 1 ปีนี้ถือเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย ส่วนไตรมาส 2 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่ยังเห็นการติดลบที่ลดลง ไตรมาส 3 เริ่มเห็นผลการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ เช่น งบกลางปีที่เริ่มเข้าสู่ระบบ และไตรมาส 4 หวังว่าเศรษฐกิจจะเป็นบวก จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เริ่มเห็นการลงทุนในเมกะโปรเจ็กส์ แต่เมื่อรวมทั้งปียังติดลบ
...เราต้องการให้นักลงทุนและประชาชนเห็นภาพบวกมากกว่าลบ มีข้อมูลชัดเจนว่า ไตรมาส 1 เป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย เพื่อเป็นข้อมูลตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่การหลอกลวงประชาชน" นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สศค.กล่าว
สศค.คาดว่า GDP ไตรมาส 1/52 จะหดตัวมากกว่าไตรมาส 4/51 ที่ GDP หดตัว 4.3% แต่คงหดตัวไม่ถึง 5% โดยภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญที่จะชะลอการหดตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ ผ่านรายจ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนและประคองอุปสงค์ในประเทศไม่ให้หดตัวรุนแรงมากนัก
การใช้จ่ายภาครัฐจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและกระจายสู่ท้องถิ่นให้ทั่วถึง เพื่อให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว การไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง การลงทุนผ่านรายจ่ายรัฐบาลในภาค Real Sector ยังจะเป็นการดูแลภาคสถาบันการเงินให้เข้มแข็งด้วย ซึ่งจะลดการเกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมากขึ้น
ผู้อำนวยการ สศค.กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลมีการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ระยะ 3 ปี เพื่อลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์ แต่คาดว่าในปี 52 จะมีการเบิกจ่ายงบโครงการดังกล่าวเพียง 60,000 ล้านบาทจากงบประมาณที่จัดสรรลงทุนในปี 52 ประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งประเมินว่าหากมีการเบิกจ่ายงบลงทุนเพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาท จะช่วย GDP ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 0.4-0.5%