มอร์แกน สแตนลีย์ และมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เตรียมควบรวมธุรกิจหลักทรัพย์ในญี่ปุ่นของสองบริษัทเข้าด้วยกัน ได้แก่ มอร์แกน สแตนลีย์ เจแปน ซิเคียวริตีส์ และ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซิเคียวริตีส์ เพื่อตั้งบริษัทใหม่ ซึ่งจะเป็นบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ภายในวันที่ 31 มี.ค.ปีหน้า
มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จะถือหุ้นในบริษัทใหม่ 60% ส่วนมอร์แกน สแตนลีย์ จะถือหุ้นส่วนที่เหลือ โดยที่ผ่านมา ซีอีโอของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ได้พยายามที่จะอยู่เหนือคู่แข่งอย่างโนมูระ ซึ่งบริษัทแห่งใหม่ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นนี้ จะใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากโนมูระ และโกลด์แมน แซคส์
บลูมเบิร์กรายงานว่า นานะ อ็อตสึกะ นักวิเคราะห์ของยูบีเอส เอจี กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะส่งผลในลักษณะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เนื่องจากธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจไม่ได้แข็งแกร่งนัก ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศของมอร์แกน สแตนลีย์นั้นมีความแข็งแกร่ง มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จะสามารถริเริ่มโครงการใหม่ๆได้ภายในบริษัทใหม่ เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนการถือหุ้น
การซื้อกิจการในต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า แตะ 7 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยมอร์แกน สแตนลีย์ ได้แนะนำให้มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ เทคโอเวอร์ ยูเนียนบังคาล คอร์ป เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา
การควบรวมกิจการครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ในญี่ปุ่น หลังจากที่โนมูระได้เข้าซื้อกิจการในเอเชียของเลห์แมน บราเธอร์สที่ล้มละลาย ขณะที่บริษัทไฟแนนซ์ต่างชาติอย่างซิตี้กรุ๊ป, โกลด์แมน แซคส์, ดอยช์ แบงก์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ลดพนักงานในประเทศลงหลังจากขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัญหา
มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ได้ซื้อหุ้นในมอร์แกน สแตนลีย์ 21% เมื่อเดือนต.ค. ขณะที่มอร์แกน สแตนลีย์พยายามเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ มีสาขาอยู่ 116 แห่ง และพนักงานกว่า 6,500 คน
จอห์น แมค ซีอีโอของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ข้อตกลงในการควบรวมกิจการนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างความร่วมมือที่บริษัทได้ทำร่วมกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ และยังตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่หนักแน่นของบริษัทที่มีต่อญี่ปุ่น